welcome to my blog ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกค้ะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความฉลาดแบบเด็กญี่ปุ่นสร้างได้

หลังจากคราวที่แล้วเราได้ทราบกันแล้วนะค่ะว่า ทำไมเด็กญี่ปุ่นถึงฉลาดวันนี้เราจะมาสร้างความฉลาดให้แก่ลูกๆ ในแบบคุณแม่ญี่ปุ่นกันค่ะ เริ่มกันด้วยเรื่องของโภชนาการก่อนเลยค่ะ เราจะเห็นได้ว่าทรัพยากรที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็วและเจริญก้าวหน้า ก็คือ การพัฒนาคนนั่นเองค่ะ มาดูกันว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้คนญี่ปุ่นฉลาด ขันแข็ง และมีความพร้อมที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมการกินที่ดีค่ะ เพราะจะใส่ใจในเรื่องสุขภาพอย่างมากเคล็ดลับสำคัญที่สุดคือ การรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการบนโต๊ะอาหารของชาวญี่ปุ่น อาหารที่พบบ่อยที่สุดคือ ปลา เต้าหู้ และผักปลาเป็นอาหารที่ชาวญี่ปุ่นไม่ว่าคนแก่หรือเด็กชอบรับประทานมากที่สุด โดยเฉพาะปลาสด



กินปลาแล้วฉลาด
ผลการวิจัยปรากฏว่า สารบางชนิดในปลาสดหรือปลาดิบที่บทบาทป้องกันมะเร็ง ผู้เชี่ยวชาญพบว่า ถ้าผู้สูงอายุและผู้หญฺงรับประทานปลาสดหรือปาหารทะเล 50-150 กรัมต่อวันก็จะลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม รับประทานปลา โดยเฉพาะปลาในทะเลน้ำลึก เป็นผลดีต่อการป้องกันโรคหลอดเลือดในสมองและหัวใจ แต่รับประทานปลาเค็มและปลาแห้ง จะไม่เป็นผลดีต่อการป้องกันมะเร็ง ถ้ารับประทานมากเกินควร ยังคงทำให้เป็นมะเร็งด้วยซ้ำ



เต้าหู้ดีต่อร่างกาย
ส่วนเต้าหู้ ถือเป็นกับข้าวระดับชาติของญี่ปุ่น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อาหารประเภทเต้าหู้มีกรดไขมันที่ร่างกายต้องการ แม้ว่าแหล่งกำเนิดของเต้าหู้คือจีน แต่ชาวญี่ปุ่นกลับชอบรับประทานเต้าหู้มากกว่าชาวจีนอีกนะคะ
นอกจากนี้รัฐบาลญี่ปุ่นก็ยังให้ความสำคัญมากต่ออาหารเที่ยงของนักเรียนมาก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ญี่ปุ่นขาดอาหารอย่างมาก แต่รัฐบาลก็บังคับให้ใช้ระดับอาหารเที่ยงสำหรับนักเรียน ศูนย์จัดส่งอาหารทุกแห่งมีนักโภชนาการที่ได้รับการอบรมโดยเฉพาะเพื่อชี้แนะและดูแลการทำอาหารเที่ยงให้นักเรียน ปัจจุบัน นักเรียนกล่าว 60% ของญี่ปุ่นสามารถรับประทานอาหารเที่ยงที่สอดคล้องกับหลักโภชนการ



นม...ขาดไม่ได้
คนญี่ปุ่นนิยมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ค่ะ แน่นอนว่าแม่คือนมที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าตัวน้อย มีสารอาหารที่ครบถ้วนและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันรวมทั้งเสริมสร้างความเสริมฉลาดให้กับสมองน้อยๆ ให้มีพัฒนาการที่ดีและสมบูรณ์
และเมื่อไม่ได้กินนมแม่แล้ว เด็กญี่ปุ่นก็ยังกินนมอย่างต่อเนื่องนะคะ โดยนมที่นิยมนั้นจะเป็นนมที่มีสารอาหารใกล้เคียงนมแม่ คือมีสารอาหารที่ช่วยในการพัฒนาสมอง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ทำให้เด็กญี่ปุ่นได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนต่อการเจริญเติบโต
เสริมอีกนิดกับเรื่องโภชนาการของคุณแม่ญี่ปุ่นค่ะเพื่อโภชนาการที่ดีค่ะ
คุณแม่ญี่ปุ่นจะทำอาหารให้ลูกเองทุกมื้อค่ะ โดยเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพมาประกอบอาหารและยังตกแต่งหน้าตาอาหารให้ออกมาหน้ากินด้วย ดังที่เราจะเห็นได้ในหนังสือญี่ปุ่นหรือจากฟอร์เวิร์ดเมล์ การตกแต่งอาหารอาจจะตกแต่งเป็นตัวการ์ตูน และรูปสัตว์ต่างๆซึ่งอาหารญี่ปุ่นทำได้ไม่ยากค่ะ เพราะไม่มีพวกสมุนไพรเครื่องเทศ เครื่องปรุงพื้นญี่ปุ่นก็มี น้ำตาล เกลือ น้ำส้ม หรือ โชยุ และ มิโซะหรือเต้าเจี้ยว แค่นี้ก็ทำอาหารได้เกือบทุกอย่างแล้วค่ะ
แต่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะต้องระวังหน่อยก็คือ เรื่องปริมาณความเค็มในอาหารนะคะเพราะคนญี่ปุ่นจะทานออกรสเค็ม ดังนั้นในหนังสือทำอาหารญี่ปุ่นจะมีการคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่จะได้รับหากทำตามเครื่องปรุงและส่วนผสมก็ยังมีการคำนวณจำนวนปริมาณความเค็มในแต่ละเมนูให้ด้วย เพราะคนญี่ปุ่นคำนึงถึงสุขภาพในอนาคตค่ะ เพราะการกินเค็มนั้นจะเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โดยปริมาณความเค็มที่เหมาะสมในหนึ่งวันนั้นประมาณเหลือ 1 ช้อนชา ละทางกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นระบุว่าควรกินเกลือไม่เกินวันล่ะ10กรัมและมาตรฐานโลกที่ระบุไว้เพียง5กรัมเท่านั้นเองนะคะ นอกจากอาหารที่มีคุณภาพแล้ว การดื่มนมยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการส่งเสริมความฉลาดให้กับเด็กญี่ปุ่นค่ะ เพราะในนมมีโปรตีนช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ส่งผลดีต่อการพัฒนาการทางด้านร่างกาย
เพราะเมื่อร่างกายกายแข็งแรงทำให้เด็กพร้อมที่จะเรียนรู้หรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่และนมยังช่วยบำรุงสมองรวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย เรียกได้ว่าเด็กญี่ปุ่นนั้นได้กินอาหารครบหมู่และได้ดื่มนมเสริมเข้าไปด้วย ทำให้เด็กเติบโตด้านร่างกายอย่างสมวัยค่ะ

ปริศนาอักษรไขว้




เกมปริศนาอักษรไขว้ที่เล่นกันอยู่ในปัจจุบันมาจากเกมอักษรไขว้รูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดของอาเธอร์ วีนน์ ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก เวิลต์ ฉบับวันที่ ๒๑ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๑๓ ต่อมาพัฒนารูปแบบจนมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเช่นที่เห็นในปัจจุบัน ในระยะแรก หนังสือพิมพ์ซันเดย์ เอกซเพรส ของเขาเป็นฉบับเดียวที่ตีพิมพ์เกมอักษรไขว้ เมื่อเป็นที่นิยมมากขึ้นหนังสืออื่น ๆ อีกหลายฉบับก็เริ่มเอาอย่าง จนกระทั่งในปี ค.ศ. ๑๙๒๔ สำนักพิมพ์ไซมอน แอนด์ ชูสเตอร์ ก็ริเริ่มตีพิมพ์เกมดังกล่าวรวมเล่ม ผลปรากฏว่าจำหน่ายได้มากกว่า ๔ แสนเล่มภายในเวลาเพียง ๑ ปี

ในระยะแรก อักษรไขว้เป็นเพียงเกมที่ใช้คำง่าย ๆ จนกระทั่งเอ็ดเวิร์ด มาเธอร์ และอริสแตร์ ริชชี นำมาพัฒนาให้ซับซ้อนขึ้น และท้ายสุดเดวิด แม็กนัตต์ เป็นผู้พัฒนาปริศนาอักษรไขว้แบบที่ยากที่สุดเท่าที่มีเล่นกันอยู่ในปัจจุบันนับตั้งแต่มีการตีพิมพ์เป็นต้นมา เกมดังกล่าวก็เป็นที่คลั่งไคล้ไปทั่ว เคยมีรายงานของหนังสือพิมพ์ไทม์ว่า “เกมปริศนาอักษรไขว้แพร่ระบาดไปทั่วอเมริกา” ชายคนหนึ่งถึงกับยิงภรรยาของตัวเอง เนื่องจากเธอไม่ช่วยเขาขบปัญหาอักษรไขว้ นักฟุตบอลพากันลืมฝึกซ้อม นักธุรกิจพลาดงาน และนักร้องประสานเสียงถึงกลับลืมคิวของตัวเองเนื่องจากหมกมุ่นอยู่กับเรื่องแก้ปริศนา แพทย์หลายคนต้องออกมาเตือนว่า การเล่นเกมนี้ทำให้เกิดอาการเครียดและอาจเป็นอันตรายต่อสายตา

ปริศนาอักษรไขว้เป็นเกมฝึกสมองที่ทดสอบความรู้เกี่ยวกับภาษาโดยเฉพาะ แฟรงก์ เบลล์ ซึ่งเชี่ยวชาญในเกมนี้ ได้เคยศึกษาปริศนาอักษรไขว้จากหน้าหนังสือพิมพ์ และสรุปได้ว่าภายในระยะเวลา ๖ เดือน ผู้ที่แก้เกมปริศนาอักษรไขว้จะได้เรียนรู้สุภาษิต ๑๑๐ บท ศัพท์แสลง ๔๒ คำ เพลง ๓๐ เพลงปรัชญา ๒๔ บท และเพลงกล่อมเด็ก ๑๙ เพลง

หอไอเฟล (Eiffel Tower)




หอไอเฟล (Eiffel Tower) สัญลักษณ์ของนครปารีส สร้างขึ้นใน ค.ศ.1887-9 ออกแบบโดยวิศวกรที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) เพื่อเป็นสัญลักษณ์การจัดงานแสดงสินค้าโลกในปี 1889 (พ.ศ. 2413) ฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบว่า ทำลายความงดงามของกรุงปารีสด้วยโครงเหล็กน่าเกลียด อยู่ ๆ มีโครงเหล็กสูงโด่งขวางตาพวกเขา เพราะมันทำขึ้นจากโลหะ 15,000 ชิ้น หนักถึง 7,000 ตัน ยึดต่อด้วยน๊อต 3,500,000 ตัว สีทาทั้งหมด 35 ตัน สูง 1,050 ฟุต สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 7,799,401 ฟรังก์ เสียเวลาสร้าง 1 ปี มีลิฟต์พาชมวิวได้สูงถึงยอดหอซึ่งมีร้านอาหารที่สามารถนั่งชมวิวได้ทั่วทั้งกรุงปารีส และชมความงามของแม่น้ำเซนด้วย สุดท้ายหอไอเฟลกลับเป็นสถานที่ยอดนิยม ใครต่อใครที่มาปารีสต้องถ่ายรูปด้วยตามธรรมเนียม หอนี้เคยเป็นอาคารสูงที่สุดในโลกสมัยแรก จนกระทั่งตึกเอ็มไพร์เสตท สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1931
ในวันที่อากาศดีอาจขึ้นไปชมวิวได้ถึงชั้นสูงสุดที่ 899 ฟุต ยามค่ำคืน หอไอเฟลจะเปิดไฟสวยงามมาก และมุมที่ดีที่สุดที่จะถ่ายภาพหอไอเฟล คือ บริเวณ Trocadero มีทั้งร้านขายของที่ระลึก และภัตตาคาร เปิดทุกวันเวลา 9.30-23.00 น. ค่าขึ้นลิฟต์ชม ชั้นแรก 20 ฟรังค์ ชั้นแรกและชั้นสอง 42 ฟรังค์ ชั้นแรก/ชั้นสอง/ชั้นสาม 59 ฟรังค์

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อย่างน้อยวันนี้เราทำดีที่สุด...


แม้ว่าเวลาของความผูกพัน มันอาจจะสั้น จนเหมือนเราไม่ได้รักกัน
และตอนนี้ความห่างไกลก็ได้ใกล้เรามากขึ้นเพื่อที่จะแทรกให้เราห่างกันไปทุกที......
เธออยากรู้ไหม ว่าทำไมเราต้องห่างกัน ฉันพยายามหาคำตอบให้กับตัวเอง จนวันแล้ววันเล่า ฉันก็ยังไม่เข้าใจ
หรืออาจเป็นเพราะเวลาของเธอกับฉันได้หมดลงแล้ว คนบนฟ้าคงกำหนดให้เรามาพบกันแค่เท่านี้
และเค้าก็ทำให้เราจากกัน มันไม่ยุติธรรมเลยที่เค้าทำให้ฉันรักเธอ ทำไมเค้าถึงไม่ทำให้ฉันแค่รู้จักเธอเท่านั้นนะ
ถ้าฉันรู้อะไรล่วงหน้า ว่ามันจะเป็นแบบนี้ สาบานได้ ฉันจะไม่รักเธอแม้สักนิดเดียว
มันช่างทรมานเหลือเกินกับความรู้สึกที่ฉันเป็น ฉันเสียใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้.......
การสูญเสียครั้งนี้ฉันจะเรียกร้องจากใคร

(บางทีคนเราก็ต้องการระยะห่าง...เพื่อทบทวนความรู้สึกตัวเอง ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเค้าคนนั้น)

มันช่วยฉันได้มาก แล้วตอนนี้ฉันคิดว่าสิ่งต่างที่ผ่านมา ก็เป็นคำตอบที่ดีสำหรับฉัน
ฉันคงเข้าข้างตัวเองที่คิดไปว่า..... อาจเพราะ คนบนฟ้าอาจกำลังสงสัย เราสองคนอยู่ ว่าเรารักกันจริงหรือเปล่า
เค้าเลยทดสอบให้เราห่างกัน แยกเราไปคนละทาง เพื่อทดสอบว่า ถ้าเราต้องใช้ชีวิตเพื่อรอคอยใครบางคน
ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ช่วงเวลาที่รอนั้น จะเป็นตัววัดความรู้สึก และพิสูจน์ความแข็งแรงของความรัก
วัดการกระทำ ความเสมอต้นเสมอปลาย กับการอดทนด้วยเงื่อนไขเวลาของการห่างไกล
เมื่อถึงเวลานั้น เราจะได้รู้ว่าเราได้เลือกถูกคนหรือไม่ และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
กับการต้องทำหัวใจไม่ให้หวั่นไหวกับอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
ที่คอยเข้ามาทำให้ไหวหวั่นกับสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปทุกๆ วัน
ความห่างไกลจึงเหมือนเป็นตัววัดปริมาณความรักของเรา

ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวันพรุ่งนี้ เราจึงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับมัน
เราคิดไปล่วงหน้า ว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราไม่สามารถบังคับให้ใครมารักเราได้
และถ้าเธอจะอยู่ หรือเธอจะไป จะรักกันมากขึ้น หรือน้อยลง ก็จะเป็นเพราะเราสองคน
คงไม่ใช่ความต้องการของฉันฝ่ายเดียว หรือเธอฝ่ายเดียว

(คงจะไม่มีอะไรที่จะน่ากลัวและเลวร้ายไปกว่า การยอมรับความรู้สึกตัวเอง อีกแล้ว........ใช่มั๊ย)

วันนี้ฉันจึงมีความสุข ถึงแม้ว่าเราจะห่างกัน แต่อย่างน้อย ฉันก็ไม่เสียใจ ในสิ่งที่ฉันทำ
แต่ฉันคงจะเสียใจแน่ๆ หากฉันไม่ได้ทำ
นั่นก็คือ การได้รักเธอ.......มีวันที่เลวร้าย มีวันที่สวยงาม มีวันที่ว่างเปล่า สุขก็อยู่กับเราไม่นาน ทุกข์ก็อยู่กับเราไม่นาน
สุขเคยแวะผ่านมาแล้วก็ไป ทุกข์ก็เช่นเดียวกัน วันนี้ฉันมีความทรงจำที่ดี ระหว่างเรา
ฉันจึงมีเรื่องให้นึกถึงวันดีดีมากมาย และฉันก็ได้ยิ้มให้กับความทรงจำนั้น
จน ณ ตอนนี้ จนถึงวันนี้ จึงรู้แล้วว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้เราทั้งสองต้องเรียนรู้ และเผชิญหน้ากับมัน
อาจจะลำบาก เหน็ดเหนื่อย แต่เชื่อฉันนะ ว่าสักวันความฝันเราต้องเป็นจริง
ฉันมีความหวังตราบที่ฉันยังมีลมหายใจ เพราะความหวังของฉันนั้นมันเป็นสิ่งที่มีค่า
ทำให้ฉันมีจุดมุ่งหมาย เผื่อสักวันอาจจะได้เป็นดังหวัง เมื่อฉันเป็นคนเริ่มต้น ฉันก็อยากจะเป็นคนทำให้มันจบ
ถึงแม้ว่าการได้รักคือการเสี่ยงที่จะไม่ได้รับรักตอบแทน การตั้งความหวังคือการเสี่ยงที่จะเจ็บปวด
การพยายามคือการเสี่ยงที่จะล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่น่าอันตรายที่สุดถ้าชีวิตนี้ ฉันไม่เสี่ยงอะไรเลย

ถ้า"รัก" เริ่มต้นที่คนสองคน ผูกพันกัน เข้าใจกัน ต่างต้องการอยากที่จะร่วมทางเดินด้วยกัน
วันนี้ฉันก็อยากจะให้เรา "ไว้ใจ" กัน เพราะแน่นอน เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ถ้าวันนี้เราทำดีที่สุดแล้ว ก็คงไม่ต้องกลัวอะไรวันต่อไปของเราก็คงจะดีเอง...
และฉันก็พอใจ กับสิ่งที่ได้รับในเวลานี้ ฉันมีความสุขที่ได้รัก รักในสิ่งที่ฉันเป็น
รักในทุกความรู้สึกดีดีที่ได้รับจากทุกคน รักในสิ่งที่ตัวเองทำ
และฉัน....................รักในสิ่งที่หัวใจฉันต้องการ....สำหรับฉันจึงไม่ต้องการอะไรมากมาย

ฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองช่างเป็นผู้หญิงโชคดีเหลือเกิน ที่ฉันโชคดีที่มีคนที่รักฉัน
และฉันก็รักเค้า กับผู้ชายอย่างเธอ ทั้งที่บางครั้งเธอเองก็อาจคิดว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร
แต่อย่างน้อยวันนี้เธอดีกับฉัน ฉันจึงไม่สนใจว่าเธอจะเป็นอย่างไร และ ถึงแม้ว่าเรื่องราวระหว่างเรา
อาจจะไม่เป็นดังที่เราหวังเลยสักนิดเดียว หรืออาจจะไปไม่ถึงฝัน...................

"ฉันรักเธอ" และอยากให้เธอมีความสุข แม้ว่าความสุขนั้น จะไม่ได้หมายถึงว่ามีฉันอยู่ด้วยก็ตาม
และหากความจริงเราต้องจากกันไปจริงๆ ฉันรับประกันได้เช่นกันว่า..
ถ้าวันนี้ฉันไม่ขอร้องให้เธอมาเป็นของฉัน ฉันจะต้องเสียใจ ไปจนตราบชีวิตฉันจะหาไม่
เพราะฉันรู้หัวใจฉันดีว่า เธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในใจฉันตลอดมา

อยากบอกทุกคนว่า ไม่มีใครได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการทั้งหมด
ไม่มีใครที่เกิดมาสมบูรณ์แบบ วันนี้เราควร "ปล่อยวาง" เพื่อให้หัวใจไม่บอบช้ำนานเกิน
จนกลายเป็นแผลในใจที่คอยทำร้ายตัวเอง....
มีความสุขกับความเป็นจริงวันนี้เพราะพรุ่งนี้เราอาจไม่มีโอกาส............

สะพานชีวิต

สะพานชีวิตที่ทอดยาว เส้นทางสีขาวที่ก้าวเดินในแต่ละก้าว
ถูกแต่งแต้มให้เป็นสีต่างๆกันไป
บางก้าวเป็นสีที่สดใส บางก้าวเป็นสีเท่าหม่น
สลับสับเปลี่ยนกันไป ทำให้สะพานดูมีสีสัน
ในขณะที่ฉันเดินมาถึงกลางสะพาน
อีกหลายๆคนเดินอยู่ข้างหลังฉัน
และก็ใครอีกหลายๆคนที่เดินนำหน้าฉัน
นั่นคือเส้นทางที่ทุกคน
จะต้องเดินไปตามบาทวิถี
หนทางสิ้นสุดอยู่ที่ใดทุกคนรู้
อยู่ที่ว่าเราจะก้าวเดินไปอย่างระมัดระวัง
หรือปล่อยจิตใจให้ล่องลอยโดยที่ไม่รู้ว่า
ฉันย่างก้าวถึงไหนแล้ว
ตอนนี้ฉันกำลังล่องลอยอยู่กลางสะพาน
ฉันรู้สึกเคว้ง บางอารมณ์ฉันอยากเดินกลับไป
แต่ในแต่ละก้าวที่ฉันเดินผ่านมา
มันได้ถูกแต่งแต้มสีสันไปแล้ว
แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะฉนั้น
ในทุกย่างก้าวต่อไป ฉันเตือนตัวเองว่า
จะต้องแต้มสีสันในก้าวต่อไปให้สดใส
ดียิ่งกว่าเดิมจนกว่าหนทางจะสิ้นสุดลง
ตามทางข้างหน้ามันยังคงเป็นสีขาว
ที่รอสีสันมาแต่งแต้ม
ฉันยังคงก้าวเดินต่อไป ต่อไป
บนเส้นทางสะพานชีวิต....

หิมะ คืออะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร


ลมหนาวพัดมาอีกแล้ว! ฤดูหนาว ดูเหมือนจะเป็นฤดูที่วัยรุ่นไทยชอบที่สุดก็ว่าได้ ทำให้น้องๆหลายต่อหลายคนตั้งตารอให้ถึงฤดูหนาวเร็วๆเพื่อจะสัมผัสกับอากาศ ที่หนาวเย็น ช่วงนี้เลยเห็นน้องๆหลายคนหยิบเสื้อกันหนาวออกมาใส่กันบ้างแล้ว โดยเฉพาะน้องๆที่อยู่ต่างจังหวัดจะสัมผัสอากาศหนาวได้มากกว่าในกรุงเทพฯ

น้องๆเป็นเหมือนกันบ้างหรือเปล่า? อากาศ หนาวย่างกรายเข้ามาเมื่อใดเป็นอันต้องนึกถึงหิมะขึ้นมาซะอย่างงั้น แล้ว จริงๆเจ้าหิมะมันเกิดจากอะไร แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง วันนี้พี่มีความรู้เรื่องหิมะมาฝาก

หิมะ เกิดจากละอองน้ำในชั้นบรรยากาศ เกิดการเกาะรวมตัวกันหรือที่เรียกว่าการควบแน่น (Deposition - การที่ไอน้ำ เปลี่ยนเป็นน้ำแข็งโดยไม่ผ่านสถานะของเหลว Process กลับกันเรียกว่า Sublimation) ในชั้นบรรยากาศ ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0 C (32 F) และตกลงมา ในสภาวะความชื้นที่เหมาะสม อยู่ในรูปของผลึกน้ำแข็งจำนวนมากเรียกว่าเกล็ดละอองหิมะ จับตัวรวมกันเป็นก้อน หิมะจึงมีเนื้อที่หยาบเป็นเกล็ด และมีโครงสร้างที่กลวงจึงมีความนุ่มเมื่อสัมผัส

เกล็ดหิมะจะมีลักษณะเป็นคล้ายรูปดาว โดยส่วนที่ยื่นออกมาของเกล็ดหิมะนั้น จะเป็นสมมาตรแบบหกด้านเสมอ เนื่องมาจากเกล็ดน้ำแข็งปกตินั้นมีโครงสร้างผลึกหกเหลี่ยม(หรือที่รู้จักกัน ในชื่อ ice Ih) ดังรูป

- คำอธิบายถึงความสมมาตรของเกล็ดหิมะนั้นโดยทั่วไป มีอยู่ 2 คำอธิบาย คือ

- 1 อาจเป็นไปได้ที่จะมีการสื่อสารหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างส่วนที่ยื่นออก ของเกล็ดหิมะ ซึ่งส่งผลให้การงอกออกของแต่ละก้านนั้นส่งผลถึงกัน ตัวอย่างของรูปแบบที่ใช้ในการสื่อสารนั้นอาจเป็น ความตึงผิว หรือ โฟนอน(phonon)
- 2 คำอธิบายที่สองนี้จะค่อนข้างแพร่หลายกว่า คือ แต่ละก้านของเกล็ดหิมะนั้นจะงอกออกโดยไม่ขึ้นแก่กัน ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิ ความชื้น และสภาพแวดล้อมอื่นๆ นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกับขนาดของเกล็ดหิมะแล้วเชื่อว่าสภาพแวดล้อมจะมีสภาพที่เหมือน กันในช่วงขนาดสเกลของเกล็ดหิมะ ซึ่งส่งผลให้การงอกออกของก้านในแต่ละด้านนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขเหมือนกัน จึงทำให้ลักษณะการงอกออกนั้นเหมือนกัน ในลักษณะเดียวกับที่รูปแบบการเติบโตของวงแหวนอายุในแกนของต้นไม้ในสภาพแวด ล้อมเดียวกันจะมีรูปร่างเหมือนๆกัน ความแตกต่างของสภาพแวดล้อมที่ระดับสเกลใหญ่กว่าเกล็ดหิมะนั้นส่งผลให้รูปของ เกล็ดหิมะแต่ละเกล็ดนั้นมีรูปร่างที่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม แนวความคิดที่ไม่มีเกล็ดหิมะใดที่มีรูปร่างเหมือนกันนั้นไม่ถูกต้อง เกล็ดหิมะสองเกล็ดนั้นมีโอกาสเหมือนกันได้ เพียงแต่โอกาสนั้นน้อยมาก American Meteorological Societyได้บันทึกการค้นพบเกล็ดหิมะที่มีรูปร่างเหมือนกันโดย แนนซี่ ไนท์(Nancy Knight) ซึ่งทำงานที่National Center for Atmospheric Research ผลึกที่ค้นพบนั้นไม่เชิงเป็นเกล็ดหิมะซะทีเดียวที่เป็นรูป ปริซึมหกเหลี่ยมกลวง (hollow hexagonal prism)

*หลายคนเข้าใจว่า อากาศจะต้องเย็นจัดหรือหนาวจัด จึงจะสามารถเกิดหิมะได้ แต่ในความเป็นจริง หิมะสามารถเกิดขึ้นได้ หากในบรรยากาศขณะนั้น มีอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ที่ เหมาะสม ดังนั้นขณะที่มีการเกิดหิมะ อุณหภูมิเหนือผิวโลก จึงไม่จำเป็นต้องเย็นจัด นั่นคือมีความเย็นไม่แตกต่างอย่าง Significant จากอุณหภูมิในวันที่หิมะไม่ตก



เปิดประวัติ รองเท้าสุดคลาสสิก Converse


Converse นั้นเป็นบริษัทผลิตรองเท้าที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐอเมริกา โดยทางบริษัทConverse Rubber Corporation ได้เริ่มเปิดกิจการตั้งแต่เมื่อปี 1908 ซึ่งผู้ก่อตั้งคนแรกก็คือ มาร์ควิส เอ็ม คอนเวอร์ส โดยร้านแห่งแรกที่เมืองมัลเดน มลรัฐแมสซาชูเซตส์
สำหรับจุดเปลี่ยนที่ทำให้ร้านแห่งนี้โด่งดังขึ้นนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 1917 เมื่อมีการทำรองเท้าผ้าใบรุ่น "All-Star" ออกสู่ตลาด ในปีถัดมา ชาร์ลส์ เอช "ชัค" เทย์เลอร์ บุคคลผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับบริษัทแห่งนี้จึงได้เข้ามาร่วมงานด้วย ซึ่งตัวชัคนั้นเป็นนักบาสเก็ตบอลผู้เล็งเห็นว่า รองเท้าคอนเวอร์สนั้นจะต้องได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการนักบาสเก็ตบอล ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเข้าร่วมทำงานเป็นเซลส์แมนและเป็นทูตคอยโปรโมตสินค้าให้กับคอนเวอร์ส โดยระหว่างเดินทางไปแข่งขันบาสเก็ตบอลทั่วทั้งสหรัฐฯ ชัคจะแนะนำรองเท้าคอนเวิร์ส์ไปด้วย ทำให้คอนเวอร์สกลายเป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมทั้งในหมู่นักบาสเก็ตบอลและ วัยรุ่นอเมริกัน ด้วยเหตุนี้ ในปี 1923 ทางคอนเวอร์สจึงนำชื่อ Chuck Taylor's ไปปรากฏร่วมกับโลโก้ของตนที่ติดอยู่บริเวณส่วนที่หุ้มข้อเท้า ทำให้ผู้คนมักเรียกรองเท้านี้ว่า "ชัคส์" ส่วนตัวชัคเองนั้น เขาทำงานให้กับคอนเวอร์สอย่างหนักก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อปี 1969

อย่างไรก็ตาม รองเท้าชัคส์นั้นมีแต่สีดำและสีขาวเป็นเวลานานหลายทศวรรษ แต่เมื่อทีมบาสเก็ตบอลต่างๆ ต้องการที่จะให้รองเท้ามีสีอื่นๆด้วย ทำให้เมื่อปี 1966 คอนเวอร์สจึงต้องผลิตรองเท้าสีอื่นๆ นอกจากนั้น ยังมีการเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นๆในการทำรองเท้าด้วย เช่น หนัง หนังกลับ ไวนีล ป่าน แทนที่จะเป็นผ้าใบเพียงอย่างเดียว

ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และต้น 1980 นั้น คอนเวอร์สได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่เมื่อถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ปรากฏว่ามีคู่แข่งหน้าใหม่ เช่น ไนกี้ เข้ามาช่วงชิงลูกค้าไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความทันสมัย ทำให้คอนเวอร์สไม่ได้เป็นรองเท้าแห่งวงการเอ็นบีเออีกต่อไป จากเหตุผลนี้บวกกับการตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาดอีกหลายครั้งทำให้คอน เวอร์สต้องเผชิญภาวะล้มละลาย เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2001 ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนมือไป และในปีนั้นเองที่โรงงานแห่งสุดท้ายในสหรัฐฯได้ถูกปิดลงไปพร้อมกัน ซึ่งปัจจุบันรองเท้าคอนเวอร์สจะถูกผลิตจากประเทศต่างๆในทวีปเอเชีย เช่น จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2003 ทางคอนเวอร์สได้รับข้อเสนอของไนกี้ ในการเข้ามาเทคโอเวอร์ด้วยเงินจำนวน 305 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แม้ว่าคอนเวอร์สจะต้องเผชิญภาวะตกต่ำ แต่รองเท้าคอนเวอร์ส Chuck Taylor All-Star นั้นถือว่าเป็นรองเท้าที่ขายดีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในศตวรรษที่ 21 มีรองเท้ารุ่นดังกล่าวถึง 600 ล้านคู่ที่ถูกขายออกไปทั่วโลก และแม้ว่าปัจจุบัน นักบาสเก็ตบอลจะไม่ใส่คอนเวอร์สกันอีกต่อไปแล้ว แต่คอนเวอร์สยังคงได้รับความนิยมจากกลุ่มนักดนตรี วัยรุ่นหนุ่มสาวทั่วโลกแทน

ทั้งนี้ นอกจากรุ่นชัคแล้ว รองเท้าคอนเวอร์สอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ แจ็ก เพอร์เซลล์ ซึ่งผลิตกันมาตั้งแต่ปี 1935 โดยตั้งชื่อตาม แจ็ก เพอร์เซลล์ ยอดนักแบดมินตันและนักเทนนิสที่โด่งดังมากในสมัยนั้น และแจ็กเองก็เป็นผู้ที่ช่วยออกแบบรองเท้าด้วยตัวเองอีกด้วย



ที่มาของชื่อ ขนมบ้าบิ่น


รายละเอียดเรื่องนี้ อาจารย์สมบัติ พลายน้อย เขียนไว้ในหนังสือ "ขนมแม่เอ้ย" ว่า "ขนมนี้เมื่อสมัยในรัชกาลที่ 5 เคยมีคนเขียนไปถาม ก.ศ.ร.กุหลาบ เอดิเตอร์หนังสือสยามประเภทว่า ทำไมจึงเรียกขนมชนิดนี้ว่า ขนมบ้าบิ่น ก.ศ.ร.กุหลาบตอบว่า ที่เรียกอย่างนี้ เพราะเมื่อก่อนนั้น "ป้าบิ๋น" แกเป็นคนทำขึ้น เลยเรียกขนมป้าบิ๋น ต่อมาเลยเรียกเพี้ยนเป็น บ้าบิ่น

แต่จากการสอบสวนต่อมา มีผู้เข้าใจว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น น่าจะมาจากชื่อขนมต่างประเทศที่เรียกว่า "บาร์บิล"เสีย มากกว่า อย่างไรก็ตาม ชาวกุฏีจีนซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวโปรตุเกสก็ยังยืนยันว่า ขนมบ้าบิ่นเป็นขนมที่คิดขึ้นในเมืองไทย และเป็นขนมที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง

คุณสุดารา สุจฉายา บรรณาธิการวิชาการนิตยสารสารคดี ได้ไปสัมภาษณ์คุณยายเป้า (ประสาทพร) มณีประสิทธิ์ อายุ 80 ปีเศษ ชาวกุฏิจีน ได้เล่าว่า ญาติผู้ใหญ่ของมารดาชื่อ แม่บิ่น เป็นผู้ประดิษฐ์คิดทำขนมบ้าบิ่นขึ้นเป็นครั้งแรกแต่เดิมคงเรียกว่า ขนมป้าบิ่น แล้วอย่างไรกลายเป็นขนมบ้าบิ่นไปไม่ทราบ บางทีจะถนัดปากคำว่าบ้าบิ่น มากกว่ากระมัง ส่วนที่มาจาก "บาร์บิล" นั้น ผู้เขียน(108 ซองคำถาม)เองก็ไม่เคยเห็น จึงได้แต่รับฟังไว้เท่านั้น"

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จับกบอันตรายไหม

มีความเชื่อที่บอกว่าหากจับเนื้อต้องตัวกบหรือคางคก คุณจะเป็นหูดตะปุ่มตะป่ำซึ่งไม่เป็นความจริงเลย แต่คุณจะเป็นหูดแน่นอนหากคุณได้รับเชื้อไวรัสบางชนิดที่ผิวหนัง ไม่ใช่จากการจับถูกตัวสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างกบหรือคางคกท้าวแสนปมแม้แต่น้อย อันที่จริงผิวหนังที่เป็นมันลื่นของกบ มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นในเวลาที่กบไม่ได้อยู่ในน้ำเท่านั้นเอง

ส่วนผิวปุ่มๆ ของคางคกหรือกบบางชนิดนั้นใช้สำหรับการพรางตัวให้พ้นจากการล่าหรือถูกจับกิน หรือซ่อนตัวเพื่อหาอาหารโดยปลอมแปลงสีให้ดูคล้ายกับใบไม้ กิ่งไม้หรือสิ่งแวดล้อมที่เขาอยู่ แต่สารที่หลั่งจากต่อมบริเวณกระหม่อมของกบและคางคกอาจมีพิษระคายเคืองต่อผิวหนังของคุณ และอาจมีพิษต่อสัตว์เลี้ยงเช่นสุนัขของคุณได้ถ้าหากไปคาบคางคกเข้าละก็ปากจะบวมเป่งจนน่ากลัว ต้องพาเจ้าตูบไปหาหมอฉีดยาโดยด่วนเลยค่ะ

ไขปริศนา ‘ค้างคาว‘ บินได้อย่างไร ?



นักวิทยาศาสตร์เมืองผู้ดีเผยความลับวิธีการบินของค้างคาว หวังนำมาพัฒนาอุปกรณ์การบินของมนุษย์

ค้างคาวขอบหูขาว เป็นค้างคาวพันธุ์เล็กที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย แต่ถึงจะเป็นค้างคาวตัวจิ๋ว แต่กลับมีความสามารถด้านการบินถลาร่อนลมสุดเซียน นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบราวน์จึงนำเจ้าค้างคาวชนิดนี้มาศึกษา

ศาสตราจารย์เคนนี่ บูเออร์และคณะผู้ทำโครงการดังกล่าวพบว่า เทคนิคการบินของนักบินจิ๋วขั้นเทพนี้ขึ้นอยู่กับการหมุนเวียนของลม และทุกครั้งที่กระพือปีก ตัวจะขยับไปข้างหน้า ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ทำให้ทราบได้ว่า ค้างคาวสามารถบินขึ้นและลงได้ ถ้ารู้จักควบคุมปีกให้ขยับไปพร้อมกับลมนั่นเอง

สำหรับการค้นพบครั้งนี้ มีจุดประสงค์นำมาพัฒนาอากาศยานของมนุษย์ ให้สามารถบินขึ้นและลงในแนวดิ่งได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีรันเวย์ยาวๆหรือตัวเครื่องใหญ่โตเกินความจำเป็น ซึ่งอากาศยานของมนุษย์มีลักษณะการบินคล้ายค้างคาวมากที่สุด คือเฮลิคอปเตอร์ เนื่องจากสามารถบินขึ้นและลงได้ในแนวดิ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังต้องพัฒนาอีกหลายด้าน เพื่อความสามารถในการบินร่อนได้ทุกทิศทาง เปลี่ยนเส้นทางกลางอากาศได้อย่างเป็นธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ยินดีจะให้ทุนในการศึกษาความลับการบินของค้างคาวต่อไป แต่ตัวนักวิจัยเทคนิคการบินของค้างคาว ก็ไม่ได้ต้องการจะสร้างเครื่องบินเลียนแบบค้างคาว เขาเพียงต้องการท้าทายองค์ความรู้ และเปิดมุมมองของวิศวกรการบิน ด้วยการศึกษาเทคนิคการบินจากสัตว์ที่น่าอัศจรรย์ที่สุด

3 โรคประจำ ที่ต้องระวัง!ในหน้าหนาว

หน้านี้เป็นหน้าหนาว อาจจะหนาวบ้าง ไม่หนาวบ้าง แต่เราก็ยังเรียกมันว่า 'หน้าหนาว' อยู่ดี ซึ่งในหน้าหนาวนี้ก็มีโรคประจำฤดูกาลที่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เป็นโรคที่ป้องกันได้ แต่มักไม่ค่อยใส่ใจกัน บางท่านมักอ้างว่าตนเองมีภูมิคุ้มกันดี ไม่ป่วยง่ายๆหรอก แต่ก็เสียชีวิตไปเยอะแล้วเหมือนกัน
ลองมาดูกันค่ะว่ามีโรคอะไรบ้าง จะได้เตรียมตัวป้องกันไว้ก่อน....

1.โรคไข้หลี

ไข้หลี เป็นชื่อโรคที่บัญญัติโดย ศาตราจารย์นายแพทย์เสนอ อินทรสุขศรี ฟังดูเหมือนเป็นโรคของหนุ่มๆที่ไปหลีสาวๆ พาลนึกไปถึงโรคทางเพศสัมพันธ์ไปโน่น แต่แท้จริงไม่ใช่นะคะ มันเป็นคำผวน ‘ไข้หลี' ก็ ‘ขี้ไหล' โรคขี้ไหลก็คือ โรคท้องร่วง หรือโรคอุจจาระร่วง นั่นเอง โรคไข้หลีนี้มีหลายประเภท ตั้งแต่ท้องเสียธรรมดาๆ ไปจนถึงอหิวาตกโรค แต่สาเหตุก็เหมือนๆกัน คือ การกินอาหารที่ไม่สะอาด หน้าหนาวนี้น้ำเริ่มน้อย ใกล้เข้าสู่ภาวะแล้งซ้ำซาก การทำความสะอาดอาหารตลอดจนภาชนะก็ไม่ค่อยดีพอ มือไม้ไม่สะอาด ระวังนะคะ อาจเกิดอาการถ่ายอุจจาระซ้ำซาก โปรดระวังเป็นพิเศษในเด็กทารก และผู้สูงอายุ เพราะกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีพลังสำรองในตัว เป็นปุ๊บอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตปั๊บเลยก็เป็นได้

2.โรคไข้หวัด

โรคนี้เป็นโรคยอดนิยมอันดับ 2 รองจากท้องร่วง มักเป็นมากในช่วงหน้าหนาว เพราะอากาศแห้ง ไอน้ำในบรรยากาศน้อย ร่างกายไม่แข็งแรง ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เป็นเองหายเองได้ ถ้าไม่เป็นมากขึ้น แล้วลุกลามเป็นอย่างอื่นไปเสียก่อน เช่นลุกลามเป็นปอดบวม ป้องกันง่ายๆเหมือนกัน คือรักษาร่างกายให้แข็งแรง อบอุ่น(คนโสดควรจะมีคู่ซะ จะได้อบอุ่น อิอิ ล้อเล่นค่ะ) ออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่(1. เนื้อนมไข่ ให้โปรตีน 2. ข้าวแป้งน้ำตาล ให้พลังงาน 3.ผักผลไม้ 4. เกลือแร่วิตามิน 5. ไขมัน)

3. โรคตาแดง

โรคนี้ก็มักพบบ่อยในหน้าหนาวนี้เหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นเชื้อไวรัส เกิดจากมือไม่สะอาด จับไปทั่ว แล้วมาป้ายตาตัวเอง ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กนักเรียน ป้องกันก็ไม่ยาก หมั่นล้างมือให้สะอาด ไม่เอามือขยี้ตา ไม่คลุกคลีกับคนเป็นโรค เมื่อเป็นโรคควรหยุดงานหรือหยุดเรียน จะได้ไม่ไปติดต่อผู้อื่น

เพียงแค่เรามีพื้นฐาน สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ก็สามารถปลอดภัยจากทุกโรคได้ แต่ช่วงนี้กำลังอยู่ในโซนเปลี่ยนฤดูกาล อากาศก็เปลี่ยนแปลงบ่อย เพื่อนๆอย่าลืมดูแลสุขภาพกันให้มากกว่าเดิมนะคะ เราจะได้ใช้ชีวิตได้เป็นปกติสุขทุกฤดูกาล ต่อให้ต้องเจอร้อน เจอฝน ทนหนาว เราก็ยังไหว !

เรียนหนังสือเก่งๆ ก็ไม่ได้ให้อิสรภาพกับชีวิต

ทำไมผมถึงบอกว่าอย่างนั้น ลองมองออกไปข้างนอกดูสิคับ เห็นแล้วใช่ไหมคับ ไม่ว่าคุณจะเรียนจบแพทย์ หรือจบบัญชี อะไรก็ตามคุณก็ต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินอยู่ดี แต่เราแลกเงินนั้นกับเวลาเกือบทั้งชีวิตของเราเพื่อให้เราอยู่รอดได้ในยุคข้าวของแพงขึ้นเรื่อยๆเช่นนี้

ผมจะบอกคุณ เพราะคุณมีโอกาสมากกว่าผม คุณยังเด็ก ยังยังเวลาที่จะเรียนรู้ได้มากกว่า และเมือคุณอายุเท่าผมก็จะรวยมากกว่าผม สิ่งที่คุณต้องศึกษาเพิ่มเติมนั้นก็คือ ความรู้ทางการเงินซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากที่จะทำให้เราได้รับอิสระภาพที่แท้จริงในชีวิต

ผมจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับเงิน ซึ่งผมนำความรู้มาจากนักธรกิจคนนึงที่ผมนับถือเขาคือ โรเบิต คิโยซากิเขาบอกว่า นอกจากคุณจะมีความฉลาดทางวิชาชีพของคุณเเล้ว ยังไม่พอที่แก้ปันหาทางการเงินได้คับ คุณต้องมีความฉลาดทางการเงินด้วย ซึ่งความฉลาดทางการเงินประกอบด้วยซิ่งสำคัญ 5 ประการ คับ


1. การทำเงินให้มากขึ้น - เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการแต่เงินแต่ไม่สนใจกระบวนการที่จะได้เงิน หลายคนเลือกความมั่นคงจากเงินเดือนที่ได้ประจำ มากกว่าที่จะเรียนรู้กระบวนการสร้างความฉลาดทางการเงินให้กับตนเอง โดยที่ไม่รู้ว่า ไม่ต้องขับรถออกไปนั้งทำงานทุกวันก็สามารถหาเงินได้ ผมจะบอกทีหลังว่าทำอย่างไร


2. การปกป้องเงินที่หามาได้ - วอร์เรน บัฟเฟ็ต นักลงทุนที่รวยที่สุดในโลกเคยกล่าวในการสัมนาว่า " พวกคุนที่อยู่ในห้องประชุมนี้(พวกนักลงทุนและนักธรุกิจ)ทั้งหมดจงรู้ไว้เถิดว่า พวกคุณเสียภาษีน้อยกว่า ยามที่เปิดประตูต้อนรับพวกคุณเข้ามาเสียอีก เพราะฉะนั้นจึงอย่าลืมที่จะตอบแทนพวกเขา" ผมจะชี้ให้เห็นว่า ถ้าคุณศึกษาประเภท การรับรายได้ ของคุน คุนจะรู้ว่า รายได้ที่มาจากทรัยสินเสียภาษีน้อยกว่ารายได้ที่มาจากการทำงาน


3. จัดทำงบประมาณให้เงินของคุณ - การจัดทำงบประมาณมี 2 แบบ นั้นคือ งบประมาณขาดดุล และ งบประมาณเกินดุล คุนต้องทำงบประมาณของคุณให้เกินดุล นั้นคือมีเงินเก็บเหลือจากเงินเดือนสำหรับลงทุน

4. สร้างพลังทวีให้กับเงินของคุณ - พลังทวีคืออะไร หัวใจสำคัญของพลังทวีคือ " ทำงานได้มากขึ้น โดยใส่แรงให้น้อยลง" มันมีหลายอย่างที่เป็นพลังทวีคับ เช่น การเขียนหนังสือ ถ้าคุณเขียนหนังสือขึ้นมา 1 เล่ม ครั้งเดียว คุณสามาถายลิขสิทธฺ์ของมันได้ตลอดเวลา ตลอดชีวิต ถ้ายังมีคนต้องการ หรือ การทำ MLM ที่มีการลงทุนต่ำ ให้พลังทวีสูง ผลตอบแทนก็สูงตาม หรือ internetขณะที่คุนอ่านข้อความของผม และไม่ใช่แค่คุนคนเดี่ยว แต่ผมพิมแค่ครั้งเดี่ยว

5. การจัดการกับข้อมูลข่าวสารทางหารเงิน - ยุคนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีคับ " ไม่ใช่ทรัพย์สินอื่นใดหรอกที่มีมูลค่า แต่มันคือข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่เราสนใจต่างหากที่มีคุณค่า" ขนาดทองคำยังทำให้คนขาดทุนได้เลยคับ

สำหรับผม ผมให้ความสำคัญกับข้อ 4 และ 5 มากที่สุดคับ ยิ่งพลังทวีสูงผลตอบแทนก็สูงตาม และความรู้เกี่ยวกับข้อมูลนั้น อาทิเช่น การตลาดแบบเครือค่ายที่หลายคนอคติ ถ้าคุณได้ศึกษามันคุณจะเข้าใจและเปลี่ยนความคิด นี่คือความรู้ทางการเงินส่วนหนึ่งที่นำมาฝากเพื่อนๆ ถ้าเพื่อนสนใจอยากได้ความรู้เกียวกับเงินมากขึ้น ผมแนะนำให้อ่าน rich dad สอนปลุกอัจริยภาพทางการเงิน และ rich dad : conspiracy of the rich


ข้อสำคัญที่สุดคือ ยิ่งแก้ปัญหา ยิ่งฉลาด ปัญหาทางการเงินจะทำให้คุณฉลาดขึ้น ถ้าคุณหาทางแก้ไขมันได้ และความฉลาดทางการเงินของคุณก็จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าคุณปฏิเสธที่จะแก้ปัญหาทางการเงินของตัวเอง คุณก็จะยากจนลง และถ้าปล่อยปัญหานั้นต่อไปมันจะขยายตัวขึ้น ทำให้เกิดอีกหลายปัญหาตามมา สิ่งที่ผมได้บอกคุณไปถ้าคุนอ่านผ่านๆ คุนจะได้รับแค่ 10 % ของที่ผมเขียน เพราะฉะนั้นอยากให้อ่านเเล้วคิดเกี่ยวกับมัน คุณจะได้รับความรุ้มากขึ้น

จบสำหรับความรู้ ความฉลาดทางการเงินทั้ง 5 ประการและข้อความบางส่วน อ้างอิงจาก หนังสือ พ่อรวยสอนปลุกอัจฉริยภาพทางการเงิน

เราไม่สิทธิ์สงสารใครในเรื่องรัก

...ท่ามกลางวงสนทนาระหว่างคนคุ้นเคยพี่ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่า

" การได้รับน่ะ ไม่มีความหมายหรอกถ้าเราไม่ได้รัก "

แล้วก็มีการช่วยขยายความกันต่อว่า...

ประเด็นหลักของความสัมพันธ์ มันอยู่ที่รักหรือไม่รัก กับใช่หรือไม่ใช่

เพราะถ้าเราไม่ได้รักเขา ต่อให้เขาให้เรามามากเท่าไหร่

ให้หนังสือ ให้ซีดี ให้ของขวัญชิ้นใหญ่

ความหมายก็อยู่ที่สิ่งของเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลถึงใจ

แต่ถ้าเป็นคนที่เรารักน่ะ ต่อให้เขาไม่ให้อะไรเรามาเลย

วันเกิด วันสำคัญ ก็ลืมตลอด

หากเราก็ยังจะรัก !

--------------------------------------

รัก ที่มีแต่เพิ่มขึ้น

ความสำคัญ ที่ไม่เคยลดลง

ความรักจึงนำหน้าสิ่งอื่นอยู่เสมอ

นำหน้าความเหมาะควร นำหน้าความถูกต้องในสายตาใคร

แม้บางทีเราจะรู้ว่ามันผิด แต่การหักห้ามใจตัวเองนั้น ก็เป็นเรื่องยากที่สุด

ดังนั้นเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้ให้กับความรัก

เราจึงไม่มีสิทธิ์สงสาร ดูถูก หรือเยาะเย้ยความอ่อนแอของเขาเลย

เพราะไม่วันใดวันหนึ่ง หยดน้ำตาประเภทนั้นก็จะต้องเดินทางมาถึงเราด้วย

ตราบที่เรายังรักเป็น และพร้อมจะอ่อนไหวเพื่อมัน

--------------------------------------

เมื่อเห็นใครร้องไห้ จึงควรให้กำลังใจ

โดยไม่ต้องไปบอกให้เขาเลิกรัก เลิกทุ่มเท เลิกให้

และไม่ต้องไปหักหาญน้ำใจ ด้วยการพูดเสียงดัง

บอกให้เขาเลิกโง่ที่จะไปรักเคนที่เขาไม่ได้รักเราได้แล้ว

เพราะความรักอาจทำให้คนตาบอด แต่มันก็ไม่ใช่ตลอดไปหรอก

เพียงแต่แสงสว่างที่จะสาดส่องเข้ามานั้น

ต้องเป็นการมองเห็นจากเจ้าของสายตาเอง

ไม่ใช้ให้ใครก็ได้ส่องไฟฉายตรงไปที่ดวงตา

หรือจะคิดอีกอย่างว่าจริงๆแล้ว ได้ร้องไห้บ้างก็ดีเหมือนกัน

อย่างน้อยก็ช่วย ล้างฝุ่น ออกไป

พอหายเคืองใจ เดี๋ยวน้ำตาก็หยุดไหลเอง...

100 อันดับโรงเรียนที่เก่งที่สุดในประเทศไทยปี 52 !!

1. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
2. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
3. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
4. โรงเรียนบดิทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
5. โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
6. โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง
7. โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา
8. โรงเรียนสาธิต มศว.ปทุมวัน
9. โรงเรียนอัสสัมชัญ
10.โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
11.โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
12.โรงเรียนอุดรพิทยานุ(กระผม)ล จ.อุดรธานี
13.โรงเรียนสตรีวิทยา
14.โรงเรียนเทพศิรินทร์
15.โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี
16.โรงเรียนสาธิต ม.เชียงใหม่
17.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่
18.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช
19.โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย
20.โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
21.โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
22.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
23.โรงเรียนนครสรรค์
24.โรงเรียนหอวัง
25.โรงเรียนวัดสุทธิวราราม
26.โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
27.โรงเรียนสุราษฎร์ธานี
28.โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จ.ขอนแก่น
29.โรงเรียนสตรีวิทยา 2
30.โรงเรียนพิริยาลัย จ.แพร่
31.โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย
32.โรงเรียนสาธิต ม.ขอนแก่น
33.โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จ.เพรชบุรี
34.โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย
35.โรงเรียน(ขออภัยค่ะ! คำนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ)ราชวิทยาลัย จ.ตรัง
36.โรงเรียนสาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.ปัตตานี
37.โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว
38.โรงเรียนโยธินบูรณะ
39.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี
40.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
41.โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน
42.โรงเรียนนารีรัตน์ จ.แพร่
43.โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
44.โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จ.นนทบุรี
45.โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น
46.โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา
47.โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จ.ยะลา
48.โรงเรียนศึกษานารี
49.โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จ.พิษณุโลก
50.โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร
51.โรงเรียนสตรีศรีน่าน จ.น่าน
52.โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย จ.ร้อยเอ็ด
53.โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี
54.โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์
55.โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา
56.โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม จ.บุรีรัมย์
57.โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ
58.โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์
59.โรงเรียน(ขออภัยค่ะ! คำนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ)ราชวิทยาลัย จ.สตูล
60.โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์
61.โรงเรียนสกลราชวิทยานุ(กระผม)ล
62.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี 2 )
63.โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
64.โรงเรียนชลราษฎร์อำรุง
65.โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
66.โรงเรียนพัทลุง
67.โรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม
68.โรงเรียนลำปางกัลยาณี จ.ลำปาง
69.โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
70.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ บดินทรเดชา (บดินทรเดชา 3 )
71.โรงเรียนสุรวิทยาคาร จ.สุรินทร์
72.โรงเรียนเซนต์โยแซฟคอนแวนต์
73.โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง
74.โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม
75.โรงเรียนสารคามวิทยาคม จ.มหาสารคาม
76.โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี
77.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
78.โรงเรียนระยองวิทยาคม
79.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี
80.โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม
81.โรงเรียนทวีธาภิเศก
82.โรงเรียนชลกันยานุ(กระผม)ล
83.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎนครปฐม
84.โรงเรียนมารีย์วิทยา จ.นครราชสีมา
85.โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย
86.โรงเรียน(ขออภัยค่ะ! คำนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ)ราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร
87.โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
88.โรงเรียนสายน้ำผึ้ง
89.โรงเรียนเบญจมราชาลัย
90.โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีรรมราช
91.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎพระนครศรีอยุธยา
92.โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี
93.โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร
94.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ หอวัง นนทบุรี
95.โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี
96.โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี
97.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช
98.โรงเรียนสาธิต(พิบูลบำเพ็ญ) ม.บูรพา
99.โรงเรียนวิสุทธังษี จ.กาญจนบุรี
100.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า

ออกกำลังกายฟิตสมอง เสริมความคิดสร้างสรรค์

ออกกำลังกาย = สมองดี
สมองของคนเรามีน้ำหนักแค่ 2-3 % ของน้ำหนักตัว เซลล์สมองของเรามีกว่าแสนล้านล้านเซลล์ แต่ละเซลล์จำเป็นต้องใช้พลังงานมาก เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไร ทำงาน คิด จดจำ หรือแม้กระทั่งนอนหลับ สมองยังต้องใช้พลังงานอยู่เสมอ และยังต้องใช้ออกซิเจนถึง 40-50 % ของออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไป ออกซิเจนที่มีอยู่ในกระแสเลือดเหล่านี้ เมื่อเราออกกำลังกายจะทำให้เลือดสูบฉีด ช่วยนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย รวมถึงไปเลี้ยงสมองได้ดีด้วยนั่นเอง
เมื่อได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ สมองก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ชะลอการเสื่อมของเซลล์สมองให้ช้าลงได้ กระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท ส่งเสริมการเรียนรู้และความจำให้ดีขึ้น และยิ่งถ้าออกกำลังกายเป็นประจำ เสมือนเป็นการฝึกให้สมองอดทนต่อความเครียดไปในตัว ช่วยลดภาวะความซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเด็กจะช่วยให้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ ได้รวดเร็ว
ออกกำลังกาย = เสริมศักยภาพสมอง
"วิ่ง ว่ายน้ำ โยคะ เต้นแอโรบิก ฯลฯ" การออกกำลังกายมีมากมายหลายประเภท ซึ่งความจริงแล้ว การออกกำลังกายทุกประเภทช่วยเสริมศักยภาพสมองได้ในรูปแบบแตกต่างกันไปค่ะ
ฝึกทักษะใหม่ๆ
การออกกำลังกายที่ดีต่อสมองนั้นควรออกกำลังกายให้หลากหลาย เพื่อเป็นการกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองจากการได้ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือเต้นแอโรบิก เป็นต้น
ปฎิสัมพันธ์กับผู้คน ลดอาการซึมเศร้า
การออกกำลังกายประเภทกลุ่มหรือเป็นทีม เช่น ฟุตบอล วิ่งเล่นในสนาม วิ่งเปรี้ยว จะช่วยให้เราได้พบปะผู้คนและมีปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมที่หลากหลาย ช่วยผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดและลดภาวะซึมเศร้าได้
ความจำดี คิดได้เร็ว
การออกกำลังกายทุกประเภททำให้การเชื่อมต่อปลายประสาทระหว่างเซลล์ประสาทเรียกว่า Synapses ดีขึ้น ป้องกันการสูญเสียหรือเสื่อมถอย การออกกำลังกายจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ความจำดีและยังสามารถป้องกันความจำเสื่อมได้
สมรรถนะร่างกายดีขึ้น
การออกกำลังกายทุกประเภททำให้สมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น ร่างกายสมบูรณ์ เลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย ทำให้สมองได้รับสารอาหารเต็มที่ ส่งผลให้กระฉับกระเฉง มีความจำดี
ใช้สมองสองซีก
มนุษย์เราควรใช้สมองสองซีกเท่าๆ กัน แต่คนทั่วไปมักจะใช้สมองเพียงด้านเดียว การฝึกให้ลูกใช้สมองสองซีกทำได้ง่ายๆ คือลองให้ลูกบริหารร่างกายและสมอง โดย Brain gym ซึ่งคิดค้นโดย ดร. พอล เดนนิสัน แห่ง Educational Kinesiology Foundation ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อช่วยให้สมองทั้งด้านซ้ายและสมองด้านขวาทำงานประสานกันได้ดี ที่สำคัญคือ บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ คือคนที่ใช้ข้อมูลจากสมองทั้งสองด้านได้ดีนั่นเองค่ะ



เด็กๆ กับการออกกำลังกาย
เด็กๆ ควรได้รับการปลูกฝังให้ได้ออกกำลังกายอยู่เสมอตามความเหมาะสมกับช่วงของวัยของเขา และการได้มีโอกาสออกกำลังกายร่วมกัน หรือมีกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันระหว่างพ่อ-แม่-ลูกก็ยังช่วยสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น ช่วยเสริมประสิทธิภาพที่ดีให้กับสมองลูกเป็นสองเท่าเลยทีเดียวค่ะ



ทำความรู้จัก Brain gym
สมองของคนเราแบ่งได้เป็น 2 ซีก คือ ซีกซ้ายและซีกขวา โดยมีกลุ่มไฟเบอร์เชื่อมสมองทั้ง 2 ซีกเข้าด้วยกัน ถ้าหากเราเหนื่อยหรือเครียด สมองจะทำงานได้เพียงข้างเดียวเท่านั้น ความสามารถในการใช้สมาธิก็ลดลง และ เราก็จะไม่สามารถ รวบรวมความคิด หรือคิดในเชิงสร้างสรรค์ได้ การบริหารสมอง จึงเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย



สมอง 2 ด้านทำงานอย่างไร ???
สมองแบ่งเป็นซีกซ้ายและซีกขวา
สมองซีกซ้าย ทำหน้าที่ เรียนรู้และมีความสามารถในการวิเคราะห์ และแยกเป็นส่วนๆ การใช้คำพูด การจัดลำดับก่อน - หลัง ควบคุมพฤติกรรม รู้เวลาและสถานที่ การเรียนรู้ด้านภาษา
คณิตศาสตร์ ใช้เหตุผลตามหลักการทฤษฏี การตัดสินใจ
สมองซีกขวา ทำหน้าที่ เรียนรู้ในลักษณะของภาพรวม คิดแบบบูรณาการ จินตนาการ มองลักษณะท่าทางโดยรวม ภาษาที่ใช้ การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ทัศนคติ เรียนรู้จากการที่ได้ฝึกหรือปฏิบัติ
โดยสมองทั้งสองด้านจะมีไฟเบอร์บางๆ เป็นตัวเชื่อมประสาน ผู้ที่สามารถใช้สมองด้านได้ดีมักจะมีความคิดสร้างสรรค์สูงค่ะ ที่เรารู้จักกันดีคือลีโอดาโน ดาวินชี อัจฉริยะคนหนึ่งของโลกที่เชี่ยวชาญทั้งด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ ผลงานเด่นของเขามีตั้งแต่ภาพวาดโมนาลิซ่าจนถึงการวาดกายภาพมนุษย์ ผู้ออกแบบเครื่องร่อนคนแรกๆ ของโลก ฯลฯ

วิ่งตามอะไรกันในชีวิต

มีเรื่องเล่าว่า... มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...
วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...

จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน...
ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...
หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...
บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...
หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...

ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...
หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...
พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...
เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...
ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...
โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...


หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...
ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ...
หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...
ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...

หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...
ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา...
แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...


มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...
ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...


เราอยากสวย...อยากทันสมัย...
ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...
ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...
อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...
ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...


ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...
๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...

ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...
ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...
ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...

เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...
เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...
ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...
เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...
เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...