welcome to my blog ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกค้ะ

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

History about SeaWorld


Milton C. Shedd, Ken Norris, David Demott, and George Millay brought SeaWorld to life, yet that was not the initial idea. The four graduates of UCLA originally set out to build an underwater restaurant and marine life show.[8] When the underwater restaurant concept was deemed unfeasible, they scrapped those plans and decided to build a park instead, and SeaWorld San Diego was opened on March 21, 1964.[9] With only a few dolphins, sea lions, 6 attractions and 22 acres (89,000 m2), the park proved to be a success and more than 400,000 guests visited there in just the first 12 months.
After considering other locations in the midwest, including the Lake Milton/
Newton Falls area west of Youngstown, Ohio, it was decided that Aurora, Ohio would be the new home of a SeaWorld. The Aurora site was approximately 15 miles (24 km) northwest of the Lake Milton site, and 30 miles (48 km) southeast of Cleveland.[10] By this time the founders of the company had captured a few more species of animals including a killer whale that would call the new facility home. The Ohio site would prove to be difficult to maintain. The harsh winter climate permitted the park to be open only from mid-May until mid-September. However, the vast population of the Midwest and Northeastern states lived within a day's drive of the park, which would eventually add to the success of SeaWorld of Ohio.
The
Walt Disney World Resort in Orlando, Florida opened near the end of the second operating season of SeaWorld of Ohio. The success of Disney in Orlando provided another ideal spot to capitalize on the mass number of tourists that would make their way to central Florida for vacations. Since opening day in 1973, SeaWorld Orlando has thrived in a place known as 'the theme park mecca of the world'.
Harcourt Brace Jovanovich, Inc. (HBJ) purchased the company in 1976 and 12 years later they ventured deep into the heart of Texas. In 1988, SeaWorld San Antonio opened just a few miles outside of San Antonio.[11] Growth has pushed the city outwards, and now SeaWorld San Antonio lies in the Westover Hills community in West San Antonio. The park was open year-round like its sister parks in California and Florida in 1988 and 1989, then went to a seasonal schedule. The stress and financial resources it took to build and maintain a state-of-the-art marine mammal facility in the late '80s eventually took its toll on the company. HBJ, whose primary focus was producing school books, needed to reduce its assets in order to avoid a bankruptcy.
The
Anheuser-Busch Company made an offer to purchase the SeaWorld parks. However, HBJ also owned and operated two other parks, Cypress Gardens and Boardwalk and Baseball, and out of fear of not being able to find a buyer for the two other parks, HBJ refused to sell the parks individually. Despite a long negotiation, Anheuser-Busch bought all six parks in 1989: SeaWorld in San Diego, Aurora, Orlando and San Antonio as well as Cypress Gardens in Winter Haven and Boardwalk and Baseball in Haines City. Soon after the sale was final, Busch sold Cypress Gardens to the park's management and closed Boardwalk and Baseball.[12] Anheuser-Busch put millions of dollars back into the parks to revive and to prolong their longevity.

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

อ่าน-เขียน ก่อนนอนช่วยหลับสบาย


แนะนำสำหรับผู้ที่นอนยาก คิดเล็กคิดน้อยหลังล้มตัวลงนอน ควรหาหนังสือที่ยกระดับทางจิตวิญญาณมาอ่าน เช่น หนังสือเกี่ยวกับปรัชญา หรือศาสนา หนังสือประเภทนี้ช่วยจัดระเบียบความคิด ก่อให้เกิดการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ต่างจากการอ่านเรื่องราวที่ชวนให้ประสาทตื่นตัว เช่น นวนิยายแนวลึกลับ หรือแนวสืบสวนสอบสวน แต่ถ้าติดหนังสือประเภทดังกล่าวจนต้องอ่านอย่างต่อเนื่อง แนะนำให้เลือกอ่านเวลาอื่นที่ไม่ใช่เวลาก่อนนอน และควรอ่านเพียงนิดหน่อยเท่านั้น

สำหรับใครที่ล้มตัวลงนอนทีไรก็ชอบคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ อาจมีผลให้นอนหลับไม่สนิทได้ การเขียนบันทึกจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้มาก เพราะการเขียนบันทึกเป็นการเรียบเรียงความคิด ความรู้สึก บำบัดอาการฟุ้งซ่าน และเยียวยาความเครียดได้ดี

คนกินหวาน ระวังสมองเฉื่อย ความต้านทานต่ำ


คงเป็นข่าวร้ายพอสมควร สำหรับบรรดา "ชมรมคนรักความหวาน" ที่ชื่นชอบ "น้ำตาล" เป็นชีวิตจิตใจ เพราะผลวิจัยทางการแพทย์สรุปออกมาแล้วว่า มีภัยอันตรายที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ความหวานนั้นมากมายทีเดียว

แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เมื่อได้ตรวจสอบข้อมูลไปยังกระทรวงสาธารณสุขที่เฝ้าติดตามสถานการณ์เกี่ยว กับการบริโภคน้ำตาลของคนไทยทำให้พบว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มเฉลี่ยจากคนละ 12 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2526 กลายเป็นคนละ 29 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2545 เรียกว่า เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 2 เท่าตัว

ซ้ำร้ายดัชนีที่เกิดขึ้นยังเป็นแนวโน้มเดียวกันกับการบริโภคน้ำตาลในรูป แบบขนม ลูกอมและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ซึ่งปรากฏชัดเจนกับเด็กรุ่นใหม่ที่กระแสบริโภคถูกกระตุ้นโดยการโฆษณา

"จากข้อมูลทางโภชนาการและสุขภาพ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินควร นอกจากนำมาซึ่งปัญหาโรคอ้วนและโรคฟันผุแล้วการรับประทานน้ำตาลมากๆ มีอันตรายต่อสุขภาพหลายประการโดยน้ำตาลซูโครสหรือฟรุกโตส จะทำให้ระดับไขมัน กลูโคส อินซูลินและกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคเบาหวาน

"ผู้ที่ชอบกินหวานจัดบ่อยๆ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไป ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้ การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อยๆ ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง อีกทั้งการรับประทานน้ำตาลซูโครสมาก ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งหากเป็นในเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็จะทำงานไม่ มีประสิทธิภาพ" นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลถึงอันตรายจากการบริโภคน้ำตาล เมื่อติดตามพิษร้ายที่เกิดจากความหวานต่อไป ก็ทำให้ได้ข้อมูลอีกด้วยว่า การรับประทานอาหารรสหวานมากไป จะทำให้เด็กอิ่มและตัดโอกาสที่เด็กจะได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย

ผลการศึกษาในปี พ.ศ.2546 พบว่าเด็กกลุ่มอายุ 6-15 ปี ได้รับอาหารที่ให้พลังงานมากถึง 23 % สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 10 % กว่าเท่าตัว ตรงนี้บ่งชี้ว่า สถานการณ์การกินหวานในเด็กไทย อยู่ในขั้นที่ควรร่วมกันแก้ไขโดยด่วน

"ในความเป็นจริงนั้น การติดหวานสามารถถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเริ่มต้นของชีวิต โดยพ่อแม่และผู้ใหญ่เป็นกลุ่มแรกที่สร้างภาวะให้เด็กติดหวาน เนื่องจากบริโภคนิสัยของเด็กจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงขวบปีแรก เริ่มจากนมและอาหารเสริมที่ป้อนให้ เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะติดอาหารหวานและจะเพิ่มปริมาณความหวานมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคนที่เคยชินรสหวาน เมื่อได้รสหวานสมองจะหลั่งสารชนิดหนึ่งเรียกว่าโอปิออยด์( Opioid) ออกมาทำให้เกิดความพอใจ และอยากกินหวาน ทำให้อ้วนได้เร็ว

"ดังนั้น นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนในเรื่องนี้อย่าง จริงจังโดยเริ่มจากส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่แทนนมขวด พร้อมทั้งจะมีการประกวดโรงพยาบาลปลอดนมขวดทั่วประเทศ ส่งเสริมให้เด็กกินนมรสจืด แทนนมรสหวานหรือนมปรุงรส ส่งเสริมให้เด็กกินผลไม้ที่รสไม่หวานแทนการกินขนมหวาน และรณรงค์ให้งดการเติมน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว อีกทั้งให้งดการดื่มน้ำอัดลมและอมท๊อฟฟี่ด้วย" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขสรุปแผนการรณรงค์เพื่อให้เด็กไทยรอดพ้นจากการบริโภค ความหวานมากเกินไปทิ้งท้าย

แสงสีฟ้า...ช่วยเพิ่มสมาธิ


คุณจะรู้สึกมีความสุขและมีสมาธิขึ้นด้วยแสงสีฟ้า

ปวดศีรษะ ดวงตาเหนื่อยล้า และอารมณ์บูด นี่คือความทรมานในชีวิตการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์และใต้แสงไฟนีออน เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเราขาดแสงสีฟ้านั่นเอง โดยนักวิจัย เดอร์ค แจน ดิจค์ (Derk-Jan Dijk ) จากมหาวิทยาลัย Suffey ในประเทศอังกฤษค้นพบว่า แสงสีฟ้าจะช่วยให้เราตื่นตัว มีสมาธิมากขึ้นในการทำงานและยังช่วยให้สุขภาพดีด้วย เนื่องจากแสงสีฟ้าเป็นแสงที่คล้ายสีของท้องฟ้าตามธรรมชาติโดยเฉพาะในฤดูหนาว ถ้าเราใช้แสงไฟสีฟ้าก็จะช่วยให้เรารู้สึกมีความสุข ทั้งนี้ นักวิชาการได้ทำการทดสอบกับพนักงานในบริษัทจำนวน 100 คน โดยใช้แสงสีฟ้าแทนแสงสีขาวในการทำงาน ผลก็คือพวกเขาไม่ค่อยรู้สึกเพลีย ตอนกลางคืนก็นอนหลับได้ดีกว่า ไม่่ค่อยปวดศีรษะและตา ในขณะที่การทำงานภายใต้แสงไฟสีขาวให้ผลตรงกันข้าม

บัญญัติ 10 ประการของการ ‘ให้‘


ถึงแม้โครงการ 'ทำดีเพื่อพ่อ...ขอให้คนไทยรักกัน' จะผ่านพ้นไปนานแล้วแต่สิ่งดีๆ จากโครงการนี้ก็ยังคงหลงเหลือให้คนไทยอย่างเราได้จดจำและทำต่อไปได้ตลอด [ไม่เว้นวันหยุดราชการ] นั่นก็คือ "การให้" หรือ GIVEที่จะก่อให้เกิดสุข ทั้งผู้ให้ และผู้รับ คือการให้ที่มีคุณค่า

G = Gladly -ให้ด้วยใจยินดี
I = Impartially -ให้อย่างไม่ลำเอียง
V = Voluntarily -ให้ด้วยความสมัครใจ
E = Expecting Nothing Back -ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ส่วนนิยามของคำว่า "ให้" จากโครงการดังกล่าวที่นี้มีอยู่ 10 ประการคือ
1. ให้อภัย
2.ให้โอกาส
3. ให้รอยยิ้ม
4. ให้เวลา
5. ให้ความรู้สึกที่ดีต่อกัน
6. ให้ความช่วยเหลือ
7. ให้ความใกล้ชิด
8. ให้ความจริงใจ
9. ให้ความซื้อสัตย์
10. ให้ความรัก

หวังว่าเพื่อนๆ คงจะจดจำกันได้ครบนะค่ะ เอาไว้ 'ให้' กันตลอดปีตลอดไปไม่จำกัดเทศกาล เพราะเป็นการให้ที่ไม่ต้องลงแรงอะไร แค่ 'ลงใจ' ล้วนๆ อันจะนำมาซึ่ง 'ความสุข' ได้ไม่ยากเย็น

ว่าด้วยเรื่องที่มาที่ไปของ ส้มตำ


ส้มตำ เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง มีต้นกำเนิดไม่แน่ชัดโดยน่าจะมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทยและ ประเทศลาว ส่วนมากจะทำโดยนำมะละกอดิบที่ขูดเป็นเส้น มาตำในครกกับ มะเขือเทศลูกเล็ก ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง พริก และกระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ปูดองหรือปลาร้า ให้มีรสเปรี้ยว เผ็ด และออกเค็มเล็กน้อย นิยมกินกับข้าวเหนียวและไก่ย่าง โดยมีผักสด เช่น กะหล่ำปลี หรือถั่วฝักยาว เป็นเครื่องเคียง

ประวัติ
ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการนำมะละกอ ดิบมาปรุงเป็นส้มตำเป็นครั้ง แรกเมื่อใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงที่มาของส่วนประกอบต่างๆ ของส้มตำ อาจได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการสันนิษฐานถึงที่มาของส้มตำได้

มะละกอเป็น พืชที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและถูกนำเข้ามาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้โดยชาวสเปนและโปรตุเกส ในยุคต้นของกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่พริกอาจถูกนำเข้ามาเผยแพร่โดยชาวฮอลันดาในช่วงเวลาต่อมา

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีทูตชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนกรุงศรีอยุธยา คือ นิโคลาส์ แชรแวส และ เดอ ลาลูแบร์ ต่างได้พรรณาว่าในเวลานั้นมะละกอได้กลายเป็นพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งของสยามไป แล้ว และได้กล่าวถึง กระเทียม มะนาว มะม่วง กุ้งแห้ง ปลาร้า ปลากรอบ กล้วย น้ำตาล แตงกวา พริกไทย ถั่วชนิดต่างๆ ที่ล้วนสามารถใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงส้มตำได้ ขณะเดียวกันได้เขียนว่า ในขณะนั้นสยามไม่มี กะหล่ำปลี และ ชาวสยามนิยมบริโภคข้าวสวย อย่างไรก็ตามไม่มีการกล่าวถึง มะเขือเทศ และ พริกสด แต่อย่างใด

ส้มตำแบบต่างๆ

- ส้มตำไทย ไม่ใส่ปูและปลาร้า แต่ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่วแทน รสชาติออกหวานและเปรี้ยวนำ บางถิ่นอาจใส่ปูดองเค็มด้วย เรียกว่า ส้มตำไทยใส่ปู

- ส้มตำปู ใส่ปูเค็มแทนกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว รสชาติออกเค็มนำ

- ส้มตำปลาร้า ใส่ปลาร้าแทนกุ้งแห้ง นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน

- ตำซั่ว ใส่ทั้งเส้นขนมจีนและเส้นมะละกอ นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน

- ตำป่า ใส่ผักหลายชนิด เช่น ผักกระเฉด ผักกาดดอง ปลากรอบ ถั่วลิสง ถั่วงอก ถั่วฝักยาว รวมถึงหอยแมลงภู่ จะนิยมรับประทานในภาคอีสาน

- ตำโคราช ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและส้มตำปลาร้า คือใส่ทั้งกุ้งและปลาร้า

- ส้มตำไข่เค็ม ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและไข่เค็ม ไม่ใส่ปูดอง ทำให้ส้มตำมีน้ำข้น รสชาติกลมกล่อมพอดี เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบส้มตำเผ็ดจัด

นอกจากนี้ยังมีการใส่วัตถุดิบอย่างอื่นลงไป เช่น ใส่ปูม้าเรียกว่า ส้มตำปูม้า ใส่หอยดองเรียกว่า ส้มตำหอยดอง

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

ทำไมต้องไปซื้อทองที่เยาวราช


ถ้าผ่านไปแถวร้านขายทองย่านเยาวราชในวันหยุด โดยเฉพาะช่วงปีใหม่และตรุษจีน จะเห็นลูกค้าเข้าไปอุดหนุนกันแน่นแทบทุกร้านไป ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่น่าเป็นเพียงอุปาทานหรือความเชื่อที่ฝังหัวกันมานาน แต่น่าจะมีคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่ง "ซองคำถาม" ได้คำตอบสำหรับเรื่องนี้แล้วจากหนังสือ เสน่ห์เมืองจิ๋ว ทำเลมังกรทอง โดย ประวิทย์ พันธุ์วิโรจน์ ผู้อำนวยการเขตสัมพันธวงศ์

หัวใจของทองรูปพรรณในเยาวราชอยู่ที่ตัวเลขค่าความบริสุทธิ์ที่ ๙๖.๕% ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งเยาวราช ได้รับการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพโดยสมาคมค้าทองคำ ซึ่งร้านค้าทองในเยาวราชส่วนใหญ่เป็นสมาชิกอยู่

บางคนอาจรู้มาว่า ทองคำบริสุทธิ์ คือทอง ๙๙.๙๙% แล้วทองเยาวราชมีค่าความบริสุทธิ์ ๙๖.๕% ทำไมจึงถือเป็นทองที่ดีมีมาตรฐาน ? คำตอบก็คือ ทอง ๙๙.๙๙% นั้นมีความอ่อนตัว ไม่เหมาะที่จะนำมาทำเป็นทองรูปพรรณ เพราะจะขาดหรือบิดงอเสียรูปได้ง่าย ตลาดซื้อขายทองคำ ๙๙.๙๙% จึงมักเป็นเหรียญหรือทองคำแท่ง ดังนั้นช่างทองในเยาวราชจึงนำทองคำบริสุทธิ์มาผสมโลหะอื่น เช่น เงิน หรือทองเหลือง ตามสูตรของแต่ละร้าน จนได้ค่าของทองคงที่ที่ ๙๖.๕% ไม่ขาดไม่เกิน ซึ่งมีความแข็งแกร่งในเนื้อทองที่เพียงพอ และสามารถรักษาสีสันและความวาววับของทองคำบริสุทธิ์ไว้ได้ ความลับข้อนี้นี่เองที่ทองเยาวราชเป็นที่นิยมของผู้ซื้อ

นอกจากนี้ การผลิตทองรูปพรรณนั้นต้องมีส่วนประกอบสองส่วน คือทองคำที่เป็นโครงสร้างหลัก ซึ่งใช้ทอง ๙๖.๕% และทองประสานหรือเนื้อทองที่ใช้ต่อเชื่อมซึ่งมีค่าความบริสุทธิ์ที่ ๗๐-๘๕% แล้วแต่ลักษณะงาน ความชำนาญของช่าง และเจตนาของร้านทองแต่ละร้าน บางร้านที่ต้องการกำไรมาก ๆ ก็จะใช้ทองประสานที่มีความบริสุทธิ์ต่ำ แต่ทองเยาวราชมีความพิเศษที่ฝีมือของช่างที่ใช้ทองประสานให้น้อยที่สุด เพื่อให้ค่าความบริสุทธิ์ของชิ้นงานเบี่ยงเบนจาก ๙๖.๕% น้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ ทองรูปพรรณของร้านทองชั้นนำในเยาวราช จึงมีค่ากำเหน็จที่สูงกว่าร้านทองทั่วไปเล็กน้อย และมักไม่ค่อยยอมลดค่ากำเหน็จให้แก่ลูกค้า

ร้านทองเยาวราชแต่ละร้านจะมีระบบตรวจสอบคุณภาพ (Q.C. - quality control) ที่เคร่งครัด ทองที่ผ่านการ Q.C. แล้วทางร้านจะตอกรอยสัญลักษณ์ของร้านไว้ ซึ่งเป็นตราที่เป็นที่ยอมรับของบรรดาร้านทองด้วยกัน เป็นการรับรองมาตรฐานและประกันราคารับซื้อคืนไปในตัว ว่ากันว่าทองจากเยาวราช เมื่อนำไปขายคืนที่ไหนก็ได้ราคา

หลักประกันข้อหนึ่งสำหรับลูกค้าร้านทองในเยาวราชก็คือ แต่ละร้านต่างแข่งขันกันในเรื่องคุณภาพเพื่อดึงลูกค้า เพราะ ตระหนักว่า ชื่อเสียงที่สั่งสมกันมานานนี้ต้องรักษาไว้อย่างสุดชีวิต ด้วยเหตุนี้ความพิเศษของทองเยาวราชจึงไม่ใช่ความเชื่อที่ยึดถือกันอย่าง เลื่อนลอย ทองคำจากร้านทองเยาวราชนั้น...ของเขาดีจริง ๆ

ที่มาของบัตรเครดิต(Credit Card)


ใครจะเชื่อ ว่าบัตรเครดิตเริ่มต้นปรากฏร่างในนวนิยายเรื่อง "ย้อนอดีต" (Looking Backward) ของนายเอ็ดเวิร์ด เบลลามี (Edward Bellamy) ที่ประพันธ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1888ในท้องเรื่องเป็นภาพฉากประชาชนในเมืองแห่งหนึ่งได้รับสวัสดิการจาก รัฐบาล ด้วยการรับบัตรเครดิตเพื่อนำมาจับจ่ายสินค้าและบริการต่าง ๆ

ในปี ค.ศ.1900 โรงแรมแห่งหนึ่งได้นำความคิดของเบลลามีมาออกบัตรเครดิต ให้กับลูกค้าชั้นดี เพื่อนำไปจ่ายค่าบริการและอื่นๆ ของโรงแรม

ในปี ค.ศ.1914 ห้างสรรพสินค้าและปั๊มน้ำมันต่างๆ นำความคิดนี้มาออกบัตรเครดิตให้แก่ลูกค้าของตน เพื่อส่งเสริมการขาย

ปี ค.ศ.1950 ไดเนอร์สคลับออกบัตรเครดิตมาเพื่อใช้สำหรับร้านอาหารเป็นการเฉพาะ

ในปี ค.ศ.1951 ปีถัดมา ธนาคารแห่งชาติแฟรงกริน ในนิวยอร์ก เป็นธนาคารแห่งแรกที่ออกบัตรเครดิตให้กับประชาชนซึ่งเป็นชนิดที่นิยมใช้กัน มาจนถึงปัจจุบัน

นาฬิกาแปลว่ามะพร้าว เพราะอะไร?


นาฬิกา คือเครื่องบอกเวลา มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เป็นต้นว่า เรียกตามชนิดของสิ่งที่ใช้บอกเวลา เช่น นาฬิกาแดด นาฬิกาน้ำ นาฬิกาทราย เรียกตามลักษณะการนำไปใช้ เช่น นาฬิกาพก นาฬิกาแขวนเรียกตามประโยชน์ใช้สอย เช่น นาฬิกาปลุก นาฬิกาจับเวลา

คำว่า นาฬิกา มาจากคำภาษาบาลีว่า นาฬิเกร (อ่านว่า นา-ลิ-เก-ระ) แปลว่า มะพร้าว ทั้งนี้เพราะเครื่องบอกเวลาแต่เริ่มแรกนั้นใช้กะลามะพร้าวเจาะรูลอยน้ำ เมื่อกะลานั้นจมครั้งหนึ่ง ก็เรียกว่า นาฬิกาหนึ่ง

จึงนำคำว่า นาฬิกา มาใช้เป็นเครื่องบอกเวลาและช่วงระยะเวลาหนึ่งปัจจุบันคำว่า นาฬิกา นอกจากจะหมายถึงเครื่องบอกเวลาแล้ว ยังใช้เป็นคำลักษณนามบอกลำดับเวลาตามชั่วโมงโดยให้เริ่มนับ ๑ นาฬิกา เมื่อเวลาผ่านเที่ยงคืนไป ๑ ชั่วโมง และนับเรื่อยไปจนถึงเที่ยงคืนเป็นเวลา ๒๔ นาฬิกา ใช้ตัวย่อว่า น. (อ่านว่า นอ) เขียน น หนู มีจุด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บทวิทยุรายการ"รู้ รัก ภาษาไทย"ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
คัดลอกมาจาก: ราชบัณฑิตยสถาน

ไมโครเวฟ...ทำให้เป็นอัลไซเมอร์?


เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ไมโครเวฟ อาจส่งผลให้เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้

ทุกวันนี้เราอยู่กับไมโครเวฟ โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ จึงมีข้อสงสัยว่าอุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้มีผลกับอวัยวะและระบบประสาท หรือไม่

ดังนั้น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Mainz ในประเทศเยอรมนีจึงได้ทำการศึกษาวิจัยเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีผลกับโรค อัลไซเมอร์และโรค ALS ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ทั้งนี้ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยซูริกชี้ให้เห็นว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูงที่ ผ่านความร้อนมีผลเสียกับการทำงานของสมอง พวกเขาทดลองกับอาสาสมัครโดยให้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความถี่ 900 เมกกะเฮิร์ต (ซึ่งเท่ากับความถี่ของเทเลคอมจากโทรศัพท์มือถือ) ก่อนที่พวกเขาจะไปนอน พบว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีผลกับสมองของอาสาสมัครระหว่างการนอนหลับ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีอาชีพต้องอยู่กับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นเวลานาน เช่น ช่างเชื่อมเหล็ก มีความเสี่ยงสูงกับโรคอัลไซเมอร์และ ALS หรือผู้ที่รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแรงต่ำเป็นเวลานาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านก็มีความเสี่ยงกับโรคอัลไซเมอร์และ ALS เช่นกัน

ถูฟันแรงไป...ทำให้ฟันเหลือง


นอกจากการดื่มชา กาแฟ ไวน์แดงหรือการสูบบุหรี่จะทำให้ฟันเปลี่ยนสีแล้ว การแปรงฟันแรงๆ ก็ทำให้ปูนที่หุ้มผิวฟันเหลืองได้เช่นกัน

เนื่องจากปูนหุ้มผิวฟันเป็นส่วนที่แข็งที่สุดของร่างกาย แต่มันก็แก่เฒ่าได้ตามอายุของเรา ทั้งนี้ อาหารที่มีกรดและเครื่องดื่ม การแปรงฟันแรงๆ หรือการแปรงฟันผิดวิธีจะทำให้ปูนหุ้มผิวฟันถูกทำลายเร็วขึ้น ที่สำคัญคือปูนหุ้มผิวฟันไม่อาจเกิดขึ้นใหม่ได้ เมื่อผิวฟันบางลง ก็จะทำให้ Dentin สีเหลืองโผล่ให้เห็น ดังนั้นฟันของคนวัย 80 จึงมีสีคล้ำกว่าคนในวัย 20 ปี ฉะนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า เมื่อสีของฟันเปลี่ยนไป ก็ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

ส่วนวิธีป้องกันไม่ให้ปูนหุ้มผิวฟันสึกกร่อนก็คือ การแปรงฟันอย่างอ่อนโยน สิ่งสำคัญคือการเลือกแปรงสีฟันที่ไม่แข็งและรู้เทคนิกการแปรงฟันที่ถูกต้อง เพราะหากใช้แปรงสีฟันแข็งๆ จะทำให้ปูนหุ้มผิวฟันสึกและเหงือกร่น ส่งผลให้ปวดฟันง่าย คอฟันสึกและฟันผุ

เป็นลูกที่ดี รับปีใหม่



แต่ละครอบครัวก็มีเรื่องราวเป็นของตน แต่ละคนก็มีบทบาทหน้าที่ ที่ต่างกันออกไป บางคนเป็นพ่อ บางคนเป็นแม่ บางคนเป็นลูก บางคนเป็นหลาน เป็นพี่ ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ฯลฯ แต่ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะอะไร เชื่อแน่ว่าคุณต้องมีสถานะ "ลูก" อยู่ด้วยกันทุกคน เพราะฉะนั้น เราอยากให้คุณทำสถานะนี้ในสังคมครอบครัวให้ดีที่สุด เพราะการเป็นลูกที่ดีนั้นจะทำให้คุณทำหน้าที่อื่นๆ ในครอบครัวให้ดีตามไปด้วย

เป็นลูกที่ดี เป็นได้ไม่ยาก

ก่อนอื่นต้องให้คุณดูก่อนว่าตัวเอง ทำตัวเป็นลูกที่ดีแล้วหรือยัง? การทำตัวเป็นลูกที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องปรนเปรอคุณพ่อคุณแม่ของคุณด้วยเงิน ทองหรือสิ่งของที่เสริมสร้างความสะดวกสบายมากมาย หลากหลาย การให้นั้นไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่มีเวลาคุณก็สามารถเป็นลูกที่ดีได้ ไม่ยากค่ะ

ให้เวลา

เข้าใจค่ะว่าสาวๆ นั้นงานยุ่งเหลือหลาย แต่ยังไง๊ยังไงมันก็ต้องมีเวลาว่างบ้าง อะไรบ้าง ลองเจียดตารางชีวิตที่แสนจะยุ่งเหยิงให้คุณพ่อคุณแม่ท่านสักนิดนะคะ จริงๆ แล้ว แค่เพียงทานข้าวร่วมกันสักมื้อ ไม่จำเป็นต้องไปทานข้าวนอกบ้านตามร้านหรูๆ ก็ได้ เพียงแค่ได้กินอะไรที่พิเศษหน่อย พร้อมหน้าพร้อมตากันบ้าง เชื่อแน่ค่ะว่าต้องเห็นรอยยิ้มบนหน้าพวกท่านแน่ๆ

ถ้ามีโอกาสลองพาท่านไปเที่ยวบ้าง ไปเช้า - เย็นกลับ ในสถานที่เที่ยวที่ไม่ไกลนัก คงทำให้ท่านได้กระชุ่มกระชวยขึ้นอีกเยอะ คนแก่แล้ว ถ้ายิ่งอยู่นิ่งจะยิ่งซึมเศร้านะคะ พาท่านไปเปิดหูเปิดตาสักนิด พาไปเที่ยวตลาดน้ำ หรือพาไปไหว้พระตามวัดต่างๆ ก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวค่ะ แถมทำให้เราได้ชำระล้างจิตใจไปด้วย หรือจะพาพวกท่านไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า บริจาคสิ่งของให้บ้านพักคนชรา ก็เป็นความคิดที่ดีนะคะ

เวลาทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่หรือทำกิจกรรมใดๆ ร่วมกัน หลายคนอาจตีความว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ เราไม่อยากให้คุณคิดแบบนั้นนะคะ คิดเสียว่า การที่ได้อยู่กับพ่อแม่ ได้ตอบแทนท่านบ้างยามที่ท่านยังมีลมหลายใจนั้น น่าจะเป็นความโชคดีอันสูงสุดแล้ว เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว ก็ลงเจียดเวลาให้ท่านบ้างนะคะ

ให้ความรัก

นานแค่ไหนแล้วคะที่คุณไม่ได้กอดคุณพ่อคุณแม่?

พลังแห่งการกอดนั้นมีจริงนะคะ ในทางการแพทย์พบว่าการกอดนั้น นอกจากจะช่วยในเรื่องของการส่งผ่านความรักความห่วงใยแล้ว Dolores Krieger R.N. Ph.D. ผู้เชี่ยวชาญในสาขาการบำบัดด้วยการสัมผัสแห่ง New York University กล่าวว่า บุคคลที่ได้รับการกอด หรือกอดผู้อื่น จะทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของฮีโมโกลบิน ทำให้การลำเลียงของออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ให้ทำงานได้อย่างทั่วถึงทำให้สดชื่น และมีชีวิตชีวาขึ้นอีกด้วย

ในตอนเด็กๆ ที่คุณพ่อคุณแม่กอดเรา เรารู้สึกอย่างไรคะ อบอุ่น ปลอดภัย มีความสุข นานวันเข้าความรู้สึกนั้นเริ่มจางหาย เพราะหลายคนเมื่อโตขึ้น ก็กอดคุณพ่อคุณแม่น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะว่าโตแล้ว อาย หรือจะไม่ใช่วัฒนธรรมของเราก็ตาม

แต่ไม่มีใครเถียงได้หรอกค่ะว่าการได้กอดใครสักคนนั้น มันให้ความรู้สึกดีจริงๆ และคุณพ่อคุณแม่ท่านก็จะได้รับรู้ถึงความรู้สึกนั้นเมื่อเรากอดท่านแน่นอน ค่ะ

จริงอยู่ว่าบางครั้งความรักนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออก แต่กับคุณพ่อคุณแม่ที่เคยกอดเรามาตั้งแต่เด็ก คุณลองกอดท่านดูสักครั้งสิคะ ความรู้สึกสมัยเด็กๆ จะกลับคืนมา

แล้วคุณจะรู้ว่าพลังแห่งการกอดนั้นมีอยู่จริง...

ให้ความเข้าใจ

คุณพ่อคุณแม่ยามท่านแก่เฒ่า หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อะไรที่เคยจำได้แม่น ก็กลับลืมกันง่ายๆ อะไรที่เคยทำได้ ก็กลับยากยิ่งยวด ไรที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ก็เป็นเรื่องใหญ่ จากที่เคยทำเองได้ ก็ต้องร้องขอ

เพราะสังขารคนเรานั้นเสื่อมไปตามวัย สุดท้าย ร่างกายก็จะหมดความแข็งแรง กลับไปสู่จุดที่เราเริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง หลายคนอาจจะเบื่อที่ต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ ไม่เข้าใจในบางเรื่องที่ท่านทำไม่ได้ทั้งๆ ที่ง่ายเหลือเกิน

อยากให้เราทุกคนเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้คุณพ่อคุณแม่ทำให้เรามาก่อนทั้ง สิ้น เมื่อยามที่ท่านจับช้อนทานอาหารไม่ได้ ลองนึกถึงยามที่เราหัดจับช้อนครั้งแรก มันหนัก มันยากเย็นแค่ไหน ตอนนี้ความรู้สึกพวกท่านก็ไม่ต่างกัน ยามที่ต้องอาบน้ำท่าน ให้นึกถึงยามที่เราถูกอาบน้ำ ต่างกันที่เราอาจสนุก แต่ท่านนั้นทุกข์อยู่ในใจ

3 วิธีการให้ง่ายๆ ที่ลูกๆ ทุกคนทำได้ โดยไม่ได้ใช้เงินทองแม้แต่บาทเดียว เพียงแค่ใช้เวลา ความรัก และความเข้าใจ เท่านั้นเองค่ะคุณก็สามารถเป็นลูกที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ได้เริ่มจากใจของเรา เท่านั้นเองค่ะ

คนเพื่อนเยอะ เป็นหวัดเร็วกว่าคนอื่น 2 อาทิตย์


ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อยากรู้ว่าโรคหวัดใกล้ตัวเราขนาดไหน

ลองสังเกตเพื่อนที่ป๊อปปูลาร์ที่สุดในกลุ่มดูสิ เพื่อนคนนี้อาจเหมือนสัญญาณเตือนภัยให้รับมือโรคหวัดก็ได้นะ

เมื่อเร็วๆ นี้ วารสาร PLoS ONE เปิดเผยผลการสำรวจว่าคนที่ป๊อปปูลาร์จะติดหวัดเร็วกว่าคนอื่นหรือไม่ โดยลองสุ่มถามชื่อเพื่อนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและอิงจากหลักการ Friend Paradox ว่าเพื่อนคนนี้มักจะเป็นศูนย์กลางของกลุ่มเพื่อนมากกว่าคนอื่นๆ เมื่อได้ชื่อมาทั้งหมด 425 คนและทำการตรวจสอบ ปรากฎว่า 1 ใน 3 ของเพื่อนผู้ป๊อปปูลาร์เหล่านี้จะเริ่มเป็นหวัดเร็วกว่าคนทั่วไป 14 วัน ก่อนที่หวัดจะระบาดหนัก ทั้งนี้ นพ. นิโคลัส คริสตาสกี้ จาก Harvard Medical School ผู้ทำการวิจัยเขาชี้ว่า ถึงการศึกษาของเขาจะดูแค่คนกลุ่มเล็กๆ แต่ก็ไม่มีสาเหตุอะไรที่จะนำไปปรับใช้กับสังคมขนาดใหญ่ไม่ได้ ดังนั้น จับตาดูให้ดี ถ้าเจ้าแม่ในหมู่เพื่อนๆ เกิดเป็นหวัด เราก็คงต้องระวังกันให้มากแล้วนะจ๊ะ