welcome to my blog ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกค้ะ

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

BANANA

Common Names: Banana, Bananier Nain, Canbur, Curro, Plantain
Origin: Edible bananas originated in the Indo-Malaysian region reaching to northern Australia.
Species: Musa acuminata Colla, M. X paradisiaca L. (hybrid)
Related species Abyssinian Banana (Ensete ventricossum Cheesman), Musa balbisina Colla, M. ornata Roxb., M. textilis Nee



Adaptation Bananas and plantains are today grown in every humid tropical region and constitutes the 4th largest fruit crop of the world. The plant needs 10 - 15 months of frost-free conditions to produce a flower stalk. All but the hardiest varieties stop growing when the temperature drops below 53° F. Growth of the plant begins to slow down at about 80° F and stop entirely when the temperature reaches 100° F. High temperatures and bright sunlight will also scorch leaves and fruit, although bananas grow best in full sun. Freezing temperatures will kill the foliage. In most areas bananas require wind protection for best appearance and maximum yield. They are also susceptible to being blown over. Bananas, especially dwarf varieties, make good container specimens if given careful attention. The plant will also need periodic repotting as the old plant dies back and new plants develop.


DESCRIPTION



Growth Habit: Bananas are fast-growing herbaceous perennials arising from underground rhizomes. The fleshy stalks or pseudostems formed by upright concentric layers of leaf sheaths constitute the functional trunks. The true stem begins as an underground corm which grows upwards, pushing its way out through the center of the stalk 10-15 months after planting, eventually producing the terminal inflorescence which will later bear the fruit. Each stalk produces one huge flower cluster and then dies. New stalks then grow from the rhizome. Banana plants are extremely decorative, ranking next to palm trees for the tropical feeling they lend to the landscape.



Foliage: The large oblong or elliptic leaf blades are extensions of the sheaths of the pseudostem and are joined to them by fleshy, deeply grooved, short petioles. The leaves unfurl, as the plant grows, at the rate of one per week in warm weather, and extend upward and outward , becoming as much as 9 feet long and 2 feet wide. They may be entirely green, green with maroon splotches, or green on the upper side and red-purple beneath. The leaf veins run from the mid-rib straight to the outer edge of the leaf. Even when the wind shreds the leaf, the veins are still able to function. Approximately 44 leaves will appear before the inflorescence.

Flowers: The banana inflorescence shooting out from the heart in the tip of the stem, is at first a large, long-oval, tapering, purple-clad bud. As it opens, the slim, nectar-rich, tubular, toothed, white flowers appear. They are clustered in whorled double rows along the the floral stalk, each cluster covered by a thick, waxy, hood like bract, purple outside and deep red within. The flowers occupying the first 5 - 15 rows are female. As the rachis of the inflorescence continues to elongate, sterile flowers with abortive male and female parts appear, followed by normal staminate ones with abortive ovaries. The two latter flower types eventually drop in most edible bananas.

Fruits: The ovaries contained in the first (female) flowers grow rapidly, developing parthenocarpically (without pollination) into clusters of fruits, called hands. The number of hands varies with the species and variety. The fruit (technically a berry) turns from deep green to yellow or red, and may range from 2-1/2 to 12 inches in length and 3/4 to 2 inches in width. The flesh, ivory-white to yellow or salmon-yellow, may be firm, astringent, even gummy with latex when unripe, turning tender and slippery, or soft and mellow or rather dry and mealy or starchy when ripe. The flavor may be mild and sweet or subacid with a distinct apple tone. The common cultivated types are generally seedless with just vestiges of ovules visible as brown specks. Occasionally, cross-pollination with wild types will result in a number of seeds in a normally seedless variety.

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

สูตรลดความอ้วนจากฝรั่งเศส 24 วัน

อาหารของเก้าวันแรก

เช้า คือ ส้มโอ และกาแฟ หรือชา
กลางวันเป็นเนื้อสัตว์ล้วน ๆ ไม่มีข้าว ไม่มีผัก ไม่มีนม และไข่ สามารถใส่ซอสได้ กินได้มากเท่าที่ต้องการไม่จำกัด แต่มีข้อแม้ว่าในหนึ่งมื้อให้กินเนื้อสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่าน ั้น เช่น หมูล้วน ไก่ล้วน ปลาล้วน เพื่อให้กระเพาะอาหารสามารถทำงานได้ดี มากกว่าการกินปนกันที่จะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักขึ้น ความรู้พื้นฐานที่เอาไปใช้ในการเลือกกินได้ คือ หมูมีไขมันมากที่สุด เนื้อรองลงมา อาหารทะเลมีไขมันน้อย อาหารต้ม นึ่ง เผา มีแคลอรีน้อยกว่าอาหารทอด ดังนั้นใครใคร่กินก็กินได้ไม่จำกัด แม้จะเป็นขาหมูก็ตามแต่ห้ามกินอย่างอื่นปนและน้ำหนักอาจลดน้อยก ว่าที่คิด อาหารแนะนำคือสเต็กพริกไทย ปลาสำลีเผา กุ้งอบเกลือ สตูว์เนื้อไม่ใส่ผัก ปลากระพงย่างบีบมะนาว หมูทอดกระเทียม แกงจืดหมูสับล้วน ระวังอย่ากินผักและข้าวเป็นพอ สำหรับมื้อเย็น ให้กินแต่ข้าวกล้องล้วน ๆ แต่สามารถเติมซอสได้ ผัดกับกระเทียมได้ ใส่ซีอิ้ว พริกไทยได้หมด ห้ามไม่ให้มีนมกับไข่ผสมเด็ดขาด ผักและเนื้อสัตว์กินไม่ได้เช่นกัน อาหารแนะนำ ได้แก่ ข้าวผัดกระเทียมใส่ซีอิ๊วขาว ข้าวผัดกะปิ ข้าวคลุกมันกุ้ง ข้าวผัดมันปู ข้าวคลุกน้ำพริกตาแดง ข้าวคลุกน้ำพริกต่าง ๆ ข้าวคลุกพริกป่นบีบมะนาว

สามวันต่อมา (ท่านจะเริ่มสังเกตได้ว่าน้ำหนักลดลงจนมีกำลังใจ) มื้อเช้ายังคงเหมือนเดิม มื้อกลางวันและเย็นเป็นผลไม้ล้วน ๆ ใช่ค่ะ ผลไม้ล้วนๆ ห้ามมีอย่างอื่นเกี่ยวข้อง ผลไม้อะไรก็ได้ที่ใกล้มือ หาง่าย ทุเรียนก็ได้ มะม่วงก็ได้ กินเท่าไหร่ก็ได้แต่ต้องกินเป็นมื้อ ไม่ใช่กินจุบจิบ ทีนี้ท่านที่จ้องจะกินแต่ทุเรียนและมะม่วงสุกน้ำหนักอาจลดน้อยก ว่าที่ควร ระวังกันไว้หน่อยดีกว่าค่ะ

เก้าวันชุดที่สอง ระดับความอดทนมากขึ้นไปอีก คือ นอกจากอาหารเช้าที่เหมือนเดิมแล้ว มื้อที่เหลือเป็นผักล้วน แต่โชคดีที่ฝรั่งเค้านับมันฝรั่ง เผือก ข้าวโพด เป็นผักด้วยเหมือนกัน อาหารแนะนำ ได้แก่ คะน้าผัดน้ำมันหอย ผักนึ่งจิ้มน้ำพริก ผัดผักทุกอย่าง สลัดผักน้ำใส (ที่ไม่ใส่นม ไข่ และน้ำตาล)


สามวันสุดท้าย ไม่ยากแล้ว มื้อเช้ายังเหมือนเดิม นอกนั้นเราจะกลับมากินแต่ผลไม้ล้วน ๆ เมื่อครบสูตรนี้แล้วน้ำหนักจะลดลงทันตาเห็นค่ะ ยิ่งถ้าใครสามารถคุมอาหารเลือกที่มีแคลอรีและไขมันน้อย ๆ ได้ น้ำหนักจะยิ่งลดมากกว่า 5 กิโลกรัมอีกค่ะ ตัวอย่างเช่น เลือกกินปลามากกว่าขาหมู ส้มมากว่าทุเรียน เป็นต้น ทีนี้เราต้องระวังอีก สูตรอาหาร 24 วันนี้ ถ้าพลาด ผิดหรือเผลอไปหมายถึงให้เริ่มวันแรกใหม่ เริ่มตั้งต้นใหม่หมดนะคะ เมื่อครบ 24 วันแล้ว เราสามารถกลับไปกินอาหารแบบก่อนเริ่มทำได้อีก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ระวังเรื่องน้ำหนักเลย สูตรไหนก็เอาไม่อยู่ค่ะ วิธีนี้เป็นวิธีลดน้ำหนักที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหารโดยเฉพาะ หลังจากทำครบสูตร ถ้าอยากผอมตลอดโดยไม่ต้องควบคุมปริมาณอาหารเลย (ใช่ค่ะ หมายถึงกินมากเท่าไหร่ก็ได้) ขอแนะนำให้ใช้วิธีนี้ค่ะ คือ ถ้าจะกินเนื้อ ให้กินเนื้อชนิดเดียวกัน ในแต่ละมื้อและกินร่วมกับผัก ห้ามกินพร้อมกับอาหารพวกแป้ง ถ้าจะกินอาหารพวกแป้งเช่นข้าว ก็ห้ามกินพร้อมกับโปรตีน ให้กินกับผักแทน ข้อแนะนำอีกอย่าง ผลไม้เป็นอาหารที่แนะนำให้ติดบ้านไว้ตลอดเลยค่ะ เพราะผลไม้ใช้เวลาอยู่ในกระเพาะเราน้อย แต่อาหารหนักจะอยู่นาน ดังนั้นเพื่อสุขถาพ เราควรกินผลไม้ก่อนกินอาหารหลัก ประมาณ 15 - 30 นาที ค่ะ วิธีนี้เราจะมีระบบย่อยอาหารที่ดีและมีผลไม้ไปตัดกำลังการกินอา หารหลักของเรา ทำให้เรากินน้อยลงเองโดยธรรมชาติ

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ต้นกำเนิดของนาฬิกา



เดิมทีการบอกเวลาอาศัยปรากฏการณ์จากธรรมชาติ ดังเช่นระยะเวลาหนึ่งวันกำหนดจากการที่โลกหมุนรอบตัวเองครบหนึ่งรอบ โดยสังเกตจากดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าด้านตะวันออก เคลื่อนตัวสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าเรื่อยๆ จนเลยลับขอบฟ้าด้านกำเนิดตะวันตก แล้วจึงโผล่ขึ้นมาใหม่ เป็นอันครบรอบนับเวลาได้หนึ่งวัน คนสมัยก่อนจึงรู้เวลาด้วยการสังเกตตำแหน่งต่างๆ ของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ซึ่งบอกเวลาเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น ต่อมามนุษย์เริ่มรู้จักประดิษฐ์นาฬิกาขึ้นใช้ เชื่อกันว่านาฬิกาแดดเป็นวิธีจับเวลายุคแรกสุดของโลกแบบหนึ่ง มีใช้มานานกว่า 5,000 ปีแล้วในอียิปต์ เงาของแสงแดดที่ส่องต้องแผ่นโลหะบนหน้าปัด จะเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ รอบหน้าปัดตัวเลขแต่ละชั่วโมง เวลาจะเปลี่ยนไปตามเงาแดดซึ่งเคลื่อนที่นั้น

นาฬิกาแดดเป็นนาฬิกาที่ใช้บอกเวลารุ่นแรกสุด ชาวสุเมเรียนเป็นชนเผ่าหนึ่งที่ใช้นาฬิกาชนิดนี้ โดยจะแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 12 ช่วงในหนึ่งวัน ซึ่งแต่ละช่วงจะกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยใช้วิธีวัดความยาวแสงเงาเป็นมาตรฐานในการวัดระยะเวลา

ด้านชาวอียิปต์แบ่งเวลาออกเป็น 12 ช่วงเช่นกัน โดยดูเวลาจากเสาหินแกรนิตที่เรียกว่า "Cleopratra Needles" การดูเวลาจะสังเกตจากความยาวและตำแหน่งเงาที่แสงอาทิตย์ตกกระทบบนพื้นทำกับขีดทั้ง 12 ช่วงเวลาที่แบ่งไว้ เพื่อจะได้ดูว่าช่วงกลางวันเหลือเวลาที่เท่าไร

ส่วนชาวโรมันแบ่งเวลาออกเป็นกลางวัน กลางคืน คอยมีเจ้าหน้าที่ประกาศเท่านั้น ขณะที่ชาวกรีกประดิษฐ์นาฬิกาน้ำ โดยใช้ถ้วยเจาะรูจมลงในโอ่ง เรียกว่า "Clepsydra" ดูการจมของถ้วยเทียบระยะเวลา ชาวกรีกใช้นาฬิกาชนิดนี้ในศาล ต่อมาในปี 250 ก่อนค.ศ. นักปราชญ์อาร์คิมิดิส พัฒนานาฬิกาน้ำนี้ขึ้นโดยเพิ่มตัวควบคุมความเร็ว เขาปรับปรุงนาฬิกชนิดนี้เพื่อใช้งานทางดาราศาสตร์

ต่อมาจึงมีการทำนาฬิกาทรายขึ้น ซึ่งมีลักษณะเป็นแก้วเป่าสองชิ้นมีรูแคบๆกั้นกลาง โดยใช้ทรายเป็นตัวบอกเวลา จัดเป็นนาฬิกาแบบแรกที่ไม่อาศัยปัจจัยดินฟ้าอากาศ มักใช้จับเวลาระยะสั้นๆ เช่นการกล่าวสุนทรพจน์ การบูชา การเฝ้ายาม การทำอาหาร เป็นต้น

สำหรับนาฬิกายุคใหม่ พัฒนาขึ้นช่วง ค.ศ.100-1300 ในยุโรปและในจีน คำว่า "clock" ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าระฆัง อาศัยหลักการแรงดึงดูดก่อให้เกิดน้ำหนักที่จะเคลื่อนคันบังคับ ซึ่งจะทำให้เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ หอนาฬิกาแห่งแรกในโลกติดตั้งที่มหาวิหารสตร๊าสบวร์กในเยอรมนี ปีค.ศ.1352-54 และปัจจุบันยังใช้งานได้อยู่ ต่อมาในปีค.ศ.1577 จึงมีการประดิษฐ์เข็มนาที และในปี 1656 จึงมีการประดิษฐ์ลูกตุ้มที่ใช้ในนาฬิกาทำให้บอกเวลาเที่ยงตรงยิ่งขึ้น ส่วนนาฬิกาพก ประดิษฐ์ขึ้นโดยนายปีเตอร์ เฮนไลน์ ชาวเมืองนูเรมบวร์ก จากนั้นในปีค.ศ.1962 มีการประดิษฐ์นาฬิกาเชิงอะตอมซีเซียม ใช้ในหอดูดาวกรีนิช ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือว่าจับเวลาคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด

ทำการบ้าน ยังไงไม่ให้ เบื่อ&เซ็ง

ชีวิตนักเรียน นักศึกษา อีกหนึ่งปัญหาที่ยากที่สุดเห็นที่จะเป็นเรื่องการบ้าน นี่แหละ เพราะเบื่อและเพลีย กับการทำจริงๆ (เชื่อว่าต้องมีน้องๆหลายคนคิดแบบนี้555+) เข้าห้องเรียนแต่ละวิชาภาวนาให้ ไม่มีการบ้าน แต่วันนี้ปัญหาจะคลี่คลายลง เพราะเรามีวิธีทำการบ้านไม่ให้เบื่อ ไม่ให้เซ็ง มาบอก ^0^




วันนี้จัดไปเบาะๆสัก 5 ข้อและกัน

1. ทำการบ้านเป็นกลุ่ม อันนี้น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด น้องๆหลายคนสังเกตไหมครับว่าเรานั่งทำการบ้านที่บ้านเราจะเบื่อๆ ง่วงๆ เปิดเพลงก็แล้ว ก็ยังเบื่ออยู่ดี แต่จะดีกว่าไหมครับ ถ้าเราจับกลุ่มกับเพื่อนๆนั่งทำการบ้านด้วยกัน มีปัญหาอะไรไม่เข้าใจตรงไหนจะได้ปรึกษาแก้ปัญหาด้วยกัน บางที่อยู่ที่บ้านคิดไม่ออกไม่รู้จะถามใคร ทำการบ้านกับเพื่อนๆ นี่แหละได้ทั้งความรู้แถมสนุกด้วย *-*

2. ทำการบ้านที่โรงเรียน จะเป็นช่วงเวลาพักกลางวัน คาบเรียนที่ว่าง หรือ ตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็ได้ อันนี้เป็นตัวเลือกที่น่าจะได้ผลเหมือนกันนะครับเพราะบางที่ น้องๆบางคนกลับบ้าน ก็มีภาระกิจ เล่นเกมส์ ดูละคร แชทบีบี เพราะฉนั้นทำที่โรงเรียนไปเลยดีที่สุด

3. ทำการบ้านแต่เนิ่นๆ อันนี้สำคัญมากเช่นเดียวกัน น้องๆหลายคนมีปัญหากับปฎิทิน ถ้าวันรุ่งขึ้นไม่ส่งไม่ทำ มันปั่นเอาตอนกลางคืนไม่ก็ตอนเช้า บางทีทันเวลาส่งบ้างไม่ทันส่งบ้าง น้องๆที่เป็นแบบนี้คะแนนออกไม่ดีแน่ๆครับ เพราะฉนั้นแบ่งเวลาและจัดเรียงลำดับความสำคัญ ทำเสร็จก่อนไม่เสียหายนะครับ

4. อาบน้ำก่อนทำการบ้าน อันนี้บางคนงงจะอาบเพื่อ... จริงๆ เวลาเรากลับจากเรียนหนังสือ ถ้าเป็นน้องๆในกรุงเทพฯส่วนใหญ่ก็จะนั้งรถเมล์ รถตู้ ส่วนน้องๆที่อยู่ต่างจังหวัดก็เช่นกันบางคนนั้งรถ 2 แถว บางคนเดินเท้า บางคนมอเตอร์ไซค์ บางคนจักรยาน พอกลับบ้านเคยสังเกตบ้างไหมครับว่าเราจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง พอหยิบสมุดขึ้นมาจะทำการบ้านร่างกายก็ล้าแล้ว ฉนั้นการอาบน้ำก็เพื่อคืนความสนชื่นให้กับร่างกาย เพื่อพร้อมสำหรับการลงมือทำการบ้านนั้นเอง

5. รีไลน์จากของเพื่อน (อันนี้ไม่อยากแนะนำแต่ตอนผู้เขียนเรียนเคยทำบ้างนะครับ-*-) ข้อ 5 นี้เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นนะครับ จริงๆบางครั้งเราก็ขี้เกียจและเบื่อ จนทำให้ลืมทำการบ้าน ครั้นจะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะต้องส่งแล้ว วิธีเดียวคือต้องลอกเพื่อนแต่จะลอกแบบไม่มีสมองก็ไม่ได้ เลยจัดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เสริมนู้น ลบนี่ ใส่นั้น แค่นี้ก็เรียบร้อย -*-

ทำไมแมวมีนิสัยขี้ประจบ?



"แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างปราดเปรียวเป็นนักหนา ร้องเรียกเหมียวๆ เดี๋ยวก็มา เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู" กลอนดอกสร้อยที่ติดปากติดหูบทนี้ ทำให้คนไทยเชื่อกันเสียจริงๆ ว่าแมวนั้นช่างประจบประแจง จึงชอบคลอเคลียมนุษย์ ความจริงเรื่องนี้มีนัยยะที่น่าสนใจซ้อนเร่นอยู่มากว่านั้น

พฤติกรรมเคลียคลอเคล้าแข้งเคล้าขา แท้ที่จริงคือการแสดงออกโดยธรรมชาติอย่างหนึ่งที่แมวใช้แสดงความเป็นเจ้าของสิ่งที่มันเข้าไปเคลียคลอด้วย

นักวิทยาศาสตร์พบว่าบริเวณหน้าผากของแมวมีต่อมสำหรับสาร "ยูโรโมน" สารที่ว่านี้จะผลิตกลิ่นเฉพาะของแมวแต่ละตัว ถ้าแมวตัวใดเอาหัวไปคลอเคลียหรือนำไปสีกับคนหรือสิ่งของ แสดงว่าแมวตัวนั้นได้ปล่อยกลิ่นเฉพาะตัวของมันทิ้งไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเหมือนสุนัขปัสสาวะนั่นเอง

เห็นจะต้องเปลี่ยนความคิดแล้วละครับ แมวไม่ได้ขี้ประจบประแจงหรือคลอเคลียเพื่อเอาใจเรา มันมาคลอเคลียเสียดสีเราเพราะเห็นเราเป็นของของมันนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ใบบัวบก อาหารสุขภาพ

ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่เชื่อว่าหลายบ้านคงจะมีปลูกกันอย่างแน่นอน เพราะประโยชน์ของเจ้าใบบัวบัวนั้นมีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตาและมีสารแคลเซี่ยมมากเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 สูงกว่าผักหลาย ๆ ชนิดเลยนะค่ะ นอกจากนี้ใบบัวบกมีสรรพคุณทางยา ในการแก้ช้ำใน ทำให้หายฟกช้ำได้ดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการปวดศรีษะข้างเดียว บำรุงสมอง แก้ความดันโลหิตสูง แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ และขับปัสสาวะ
ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation)
ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วยเร่งการ สร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้ เร็ว
ผู้ที่ควรทานใบบัวบก ได้แก่
1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม อาทิ ผู้สูงอายุสตรีวัยทอง
2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ
3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก
4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อโดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ
5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้นและสำหรับสาวๆ ที่วัยเข้าเลข 3 แล้ว กำลังกังวลกับเรื่องรอยตีนกาบนใบหน้า ใบบัวบกนี้ก็เป็นสมุนไพรชั้นดีเลยทีเดียวที่สามารถช่วยคุณสาวๆ ได้ค่ะ
เพียงแค่นำใบบัวบกสดๆมาคั้นน้ำ แล้วใช้สำลีชุบน้ำใบบัวบกทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก ทาทุกวันก่อนนอน น้ำใบบัวบกจะไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน
ซึ่งจะช่วยลบรอยตีนกาได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องทำสม่ำเสมอนะคะ ไม่ใช่แค่2-3 ครั้งแล้วจะเห็นผลทันตา ลองทำกันดูนะก่อนที่ "ตีนกา" จะมาถามหา ถ้าได้ผลอย่างไงช่วยบอกต่อกันด้วยนะค่ะ

วิธีออกกำลังกายง่ายๆ ที่ใครๆ ไม่ค่อยจะทำ...



วิธีออกกำลังกายง่ายๆ ที่ใครๆ ไม่ค่อยจะทำ...
1. เดิน- เดินสะสมระยะทางให้ได้ 15 กม. ต่อสัปดาห์ หรือเฉลี่ยวันละ 3-5 กม.- เดินสะสมในระยะเวลา 6-7 เดือน หรือจะ...เดินสะสมระยะเวลาให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือเฉลี่ยวันละ 30 นาทีหรือแบ่งเป็น 2 รอบ รอบละ 15 นาที

2. วิ่ง- วิ่ง 100-200 เมตร หรือ ขึ้น- ลง บันได 2 เที่ยวแล้วพัก ยังไม่มีผลต่อหัวใจมากนัก ไม่ช่วยลดพุง- วิ่ง 1.5 กม. ใน 8 นาที เริ่มมีผลต่อหัวใจแต่ยังไม่ลดพุง- วิ่งต่อเนื่องไม่หยุด 12 นาที มีผลต่อหัวใจและลดพุง- วิ่งต่อเนื่องไม่หยุด 30 นาทีขึ้นไป มีผลต่อหัวใจ ลดพุงชัดเจน

3. ยกน้ำหนักเบาๆ บ่อยๆ- ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ ไม่ลีบ- ระดับฮอร์โมนต่างๆ ทำงานได้คงที่ เช่น อินซูลิน- ระดับความดันเลือดคงที่

4. แอโรบิคเบาๆ บ่อยๆ- ลดความเครียด เกร็ง ของกล้ามเนื้อ- ชะลอขบวนการเสื่อมจากวัยของระบบกล้ามเนื้อ หัวใจ ปอด และกระดูก- ต้องทำนาน 20 นาทีเป็นอย่างน้อย อาจเป็นการวิ่ง ออกกำลังอยู่กับที่ ขี่จักรยานอยู่กับที่ หรือ เต้นแอโรบิค

Exercise แบบไหนไม่ดี...ในคนอ้วน

>NO> เต้นแอโรบิค วิ่งเร็วๆ กระโดดเชือก หรือการออกกำลังกายที่มีการกระแทก
ความดันในเลือดสูง

>NO> ยกน้ำหนัก ดำน้ำลึก สควอช

>YES> ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นรำ เทนนิส จ๊อกกิ้ง

Exercise บ่อยแค่ไหนดี...

ช่วงเริ่มฝึก 1-2 สัปดาห์แรก

- อายุไม่มาก ควรออก 2-3 วันต่อสัปดาห์

- อายุมากกว่า 40 ปี ควรออก 1-2 วันต่อสัปดาห์ ฝึกมาสักระยะ ให้มีความก้าวหน้า

- คงไว้ที่ 3 วันต่อสัปดาห์

- เต็มที่ 5 วันต่อสัปดาห์

- ไม่ควรเป็น 7 วันต่อสัปดาห์ เพราะร่างกายต้องการพักบ้าง

Exercise นานแค่ไหนดี...

- ครั้งละ 30 นาที ในช่วงเริ่มต้น น้ำหนักอาจยังไม่ลด

- เพิ่มเป็นครั้งละ 60 นาที น้ำหนักลดแน่นอน

- รวมแล้วให้ได้ 150-200 นาทีต่อสัปดาห์ รวม 16 สัปดาห์
ถ้าทำตามดังข้างบน รับรองน้ำหนักลดแน่นอน