welcome to my blog ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกค้ะ

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับบำรุงสมอง

1. จิบน้ำบ่อย ๆสมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออกแต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ 

2. กินไขมันดีคนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมันซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวมน้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น 



3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน 


4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน 


5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ 


6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่นกินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ 


7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง 


8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดีตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์ 


9. ฝึกหายใจลึก ๆ สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยาย 

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความตกลงเชงเกน

ความตกลงเชงเกน (อังกฤษ: Schengen Agreement) เป็นความตกลงระหว่างประเทศส่วนใหญ่ในทวีปยุโรปอันให้สัตยาบันเมื่อ พ.ศ. 2528 สาระสำคัญเป็นการอนุญาตให้สมาชิกในกลุ่มสามารถเดินทางระหว่างกันโดยไม่ต้องถือหนังสือเดินทาง ข้อตกลงนี้มีผลต่อประชากร 4,000,000 คนใน 24 ประเทศ (21 ธันวาคม พ.ศ. 2550) ครอบคลุมเนื้อที่ 4,268,633 ตารางกิโลเมตร (1,648,128 ตารางไมล์) นอกจากนั้นยังให้การอนุญาตชั่วคราวกับผู้ถือใบอนุญาตเชงเกน (Schengen Visa) มีสิทธิในการเดินทางได้ชั่วคราวในประเทศสมาชึกโดยถือใบอนุญาตใบเดียว ตามสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัม (Treaty of Amsterdam) ข้อตกลงและตัดสินใจทุกข้อของความตกลงเชงเกนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายของสหภาพยุโรป
ประเทศที่ลงนามในความตกลงฉบับนี้มีด้วยกัน 30 ประเทศรวมทั้งประเทศในสหภาพยุโรปทุกประเทศ และประเทศนอกสหภาพอีก 3 ประเทศคือ ประเทศไอซ์แลนด์ ประเทศนอร์เวย์ และประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปัจจุบันมี 26 ประเทศที่ใช้ความตกลงนี้ สหราชอาณาจักรยังมิได้ใช่กฏนี้ หลังจากที่มีการปฏิบัติข้อตกลงนี้ด่านหรือป้อมตรวจคนเข้าเมืองของประเทศที่อยู่ในเครือเชงเกนก็ถูกรื้อทิ้ง
ประเทศที่อนุญาตให้ประชาชนในกลุ่มเชงเกนสามารถเดินทางระหว่างกันโดยไม่ต้องถือหนังสือเดินทาง และประชาชนจากประเทศนอกกลุ่มเชงเกนเดินทางระหว่างประเทศเชงเกนได้โดยใช้ใบอนุญาตเพียงใบเดียว - ใบอนุญาตเชงเกน (Schengen Visa) ประเทศสมาชิกทั้งหมดหลังจากการเข้าร่วมเพิ่มในเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2551 ประกอบด้วย
ประเทศไซปรัส เลื่อนการอนุญาตไปหนึ่งปี ประเทศบัลแกเรีย และ ประเทศโรมาเนีย ยังอยู่ในการพิจารณา

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กางเกงชั้นในสีแดงช่วยส่งเสริมสุขภาพจริงหรือ?

ผิวหนังของเราถือเป็นดวงตาคู่ที่สอง เพราะ ในผิวหนังมีอวัยวะที่ทำหน้าที่เป็นตา
ในการรับสัมผัสอยู่ โดยอวัยวะนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวเซ็นเซอร์แสง ดังนั้น
แม้ว่าตาจะปิดอยู่ เราก็สามารถรู้สึกถึงสีได้จากความยาวคลื่นของสี

สีที่มีความยาวคลื่นสูงที่สุด คือ สีแดง จึงกล่าวกันว่า สีแดงสามารถกระตุ้น
การทำงานภายในร่ายกาย ทำให้ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ
และอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น

ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ใส่กางเกงชั้นในสีแดงตัวใหญ่ หรือผ้าคาดเอวสีแดงปิดสะดือ
จะช่วยให้มีสุขภาพดี เนื่องจากบริเวณใต้สะดือลงไปประมาณ 5 ซ.ม.
มีจุดที่เรียกว่า Tanden (จุดตันเถียน) ซึ่งทางการแพทย์ตะวันออกถือเป็น
จุดสำคัญที่เป็นจุดกำเนิดของ "จิตวิญญาณ" ซึ่งเป็นพลังแห่งชีวิต

เมื่อกระตุ้นบริเวณดังกล่าว ด้วยการห่มผ้าสีแดง จะทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ร่างกายอบอุ่น ลดอาการหนาวสั่น ลดอาการปวดหลัง-ปวดไหล่ ช่วยฟื้นฟู
ความเหน็ดเหนื่อย กระฉับกระเฉงขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ คลายเครียด
ช่วยให้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือปวดประจำเดือนดีขึ้นที่มาภาพ : http://office.microsoft.com
รวมถึงมีพลังเพิ่มขึ้นด้วย

แต่มีข้อควรระวัง คือ เมื่อใส่กางเกงในสีแดงแล้ว บางคน
จะรู้สึกตื่นตัวจนนอนไม่หลับ หรือมีความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงจึงควรระมัดระวัง 

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับเทคนิคแอดมิชชั่น

หลังจากที่ได้เห็นคะแนนโอเนทและเอเนทกันไปแล้ว  ก็มาถึงเวลาสำคัญที่จะต้องมาเลือกอันดับเพื่อที่จะยื่นพิจารณากัน  โดยในปีการศึกษานี้สามารถเลือกแอดมิชชั่นกลางได้ ๔ อันดับ  ไม่ว่าจะโควต้ารับตรงหรือกลางก็ลองมาดูข้อแนะนำนิดๆ หน่อยๆ จากรุ่นพี่กันดีกว่า
       ๑. คะแนนเราเป็นอย่างไรบ้าง  ข้อแรกหลายคนก็ทำหน้าถอดสี  ที่เราต้องดูเพราะน้องๆ หลายคนคงจะเคยได้ยินคนแนะนำให้เลือกอันดับที่ ๑ ตามความฝัน  แต่ก็อยากให้ดูความจริงด้วยอีกนิดนึง  ว่าคะแนนที่เรามีสามารถไล่ตามฝันได้หรือไม่ เช่น ฝันอยากเป็นแพทย์  แต่คะแนนรวมเราไม่ถึงร้อยละ ๕๐  ก็ไปมองหาคณะอื่นเหอะ  แต่ถ้าคะแนนห่างไม่มาก  จะลองดูก็ไม่ว่ากันขอรับ
       ๒. สี่อันดับเรียงตามอะไรดี  ข้อนี้เรียงตามได้หลายวิธี  โดยคนส่วนใหญ่มักจะเรียงตามเปอร์เซ็นต์คะแนนที่ตัวเองเกินมาจากน้อยไปมาก  แต่บางคนก็เรียงตามความฝัน  แต่พี่ๆ หลายคนแนะว่าควรเรียงตามความเป็นไปได้  เพราะนอกจากจะดูจากเรียงตามฝัน  และความต่างของคะแนนที่เกินจากคะแนนขั้นต่ำแล้ว  อยากให้ดูจากอัตรารับและอัตราแข่งขันด้วย  สถิติมีประโยชน์นะขอรับ
       ๓. เปอร์เซ็นต์ติดกันมากก็ยอมทิ้งสักอันเหอะ  ขอยกตัวอย่างเลยละกัน เช่น เลือกอันดับ ๑ คะแนนน้องเกินมา ๑๒%  เลือกอันดับ ๒ คะแนนเกินมา ๑๓.๕%  จะเห็นได้ว่าช่วงห่างขอทั้งสองอันดับต่างกันเพียง ๑.๕ เปอร์เซ็นต์  ในกรณีที่ทั้ง ๒ อันดับที่เลือกเป็นคณะในกลุ่มเดียวกัน ( เช่น นิเทศศาสตร์ กับวารสารศาสตร์ )  ก็แนะนำให้น้องตัดใจเลือกว่าชอบอะไรมากกว่า  แล้วตัดอีกอันทิ้งไปเถอะ  เพราะมันไม่ต่างกับน้องเลือกอันดับไปเพียงแค่อันดับเดียว  ได้มาก็มักจะได้อันบน  แต่ร่วงทีร่วงคู่สองอันดับเลยนะครับ  น่าเสียดายโอกาสไป
       ๔. คุยกับรุ่นพี่ในคณะที่เลือกสักนิด  น้องควรจะรู้รายละเอียดในคณะที่เลือกให้ละเอียด  เพราะเมื่อน้องตัดใจเลือก ๔ อันดับนี้แล้ว  แสดงว่าน้องน่าจะสนใจในคณะที่เลือกพอสมควร  อย่าเลือกไปโดยไม่รู้อะไรในคณะนั้นเลย  เช่นเลือกสหเวชศาสตร์ไปเพราะคะแนนไม่ถึงแพทย์  (คณะนี้มีอะไรให้เรียรู้น่า สนใจกว่าที่น้องคิดนะขอรับ)  เพราะบางคณะก็มีเงื่อนไขหรือรายวิชาที่ไม่เหมือนที่อื่นทั่วไปด้วย  ศึกษาให้ดีนะขอรับ
       ๕. อย่าตามเพื่อนหรือเลือกเพื่อเพียงให้ติด  ถ้าน้องไม่ชอบในคณะที่จะเข้าจริง  เลือกเพราะเพื่อนเลือก ( เช่น ผู้ชายเลือกคณะวิศวกรรมศาสตร์ตามเพื่อน  เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะเข้าอะไรดี  แต่เพื่อนร่วมห้องเลือกเยอะก็เลยเลือกไปตามเค้า )  หรือเลือกเพราะอย่าให้พอมีชื่อว่าติดๆ ไป  สุดท้ายน้องอาจจะเรียนไม่ไหว  โดนรีไทร์หรือซิ่วใหม่ไม่รู้ด้วยนะ  และที่สำคัญมันเป็นการทำลายโอกาสของคนที่เขาอยากเรียนจริงๆ
       ๖. เข้าหาครูแนะแนว  ท่านทำให้รุ่นพี่มีที่เรียนมาแล้วรุ่นต่อรุ่น  แล้วทำไมเราจะติดไม่ได้เชียว  การได้คุยกับครูแนะแนวเพียงเล้กน้อยก่อนตัดสินใจอะไรลงไป  อาจเปลี่ยนและช่วยให้ชีวิตน้องถึงฝั่งฝันได้นะขอรับ
       ๗. ปรึกษาผู้ปกครองสักนิด  ข้อนี้ห้ามลืมโดยเด็ดขาด  เพราะลองคุยกับท่านดูว่าท่านเห็นชอบด้วยไหม  ถ้าไม่เห็นชอบก็ลองคุยกับผู้ปกครองดูสักนิด  ปรับความเข้าใจให้ตรงกัน  เพราะอย่าลืมว่าการตัดสินใจของเราไม่ได้ส่งผลกับเราเพียงคนเดียวนะ  ยังมีคนที่อยู่ข้างหลังน้องๆ รออยู่

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ต้นกำเนิดของยาสีฟัน














 ยา สีฟันถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยอียิปต์โบราณ โดยยาสีฟันในสมัยทำจากการผสมวัตถุดิบธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งวัตถุดิบที่นำมาใช้เป็นส่วนผสม ได้แก่

    • เกลือป่น
    • พริกไทยป่น
    • ใบมินต์
    • และดอกไม้ต่างๆ

        ในสมัยโรมันมีการคิดค้นสูตรยาสีฟันของตัวเองขึ้นมาใหม่ ซึ่งออกแนวค่อนข้างแปลกประหลาดเพราะใช้ปัสสาวะของมนุษย์เป็นส่วนผสมหลัก โดยชาวโรมันเชื่อว่าแอมโมเนียที่อยู่ในปัสสาวะอาจจะช่วยให้ฟันขาวสะอาดขึ้น

        ต่อมาช่วงราวศตวรรษที่ 18ยาสีฟันตำรับอเมริกันที่ใช้ขนมปังเผาเป็นวัตถุดิบก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นอกจากนั้น ในเวลาไล่เลี่ยกันยังมีการคิดค้นสูตรที่เรียกว่า "เลือดมังกร", "ซินนามอน" และ "สารส้มเผา" ขึ้นด้วย

        อย่างไรก็ตาม การใช้ยาสีฟันของผู้คนทั่วไปยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนกระทั่งใน ช่วงศตวรรษที่ 19 เดิมทีคนส่วนใหญ่จะแปรงฟันด้วยน้ำเปล่า แต่ต่อมากระแสความนิยมของยาสีฟันประเภทผงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น คนส่วนใหญ่จะใช้ยาสีฟันที่ทำขึ้นเอง ซึ่งโดยมากยาสีฟันในสมัยนั้นจะทำจากผงช็อล์ค ผงอิฐ และเกลือ

        ในปี 1866 สารานุกรมเอนไซโคลพีเดียแนะนำให้ใช้ผงถ่านแทน ต่อมาในปี 1900 ได้เริ่มมีการผลิตยาสีฟันแบบเหลวที่มีส่วนผสมของไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และเบรกกิงโซดา สำหรับส่วนผสมประเภทฟลูออไรด์ได้รับการเติมลงไปในยาสีฟันครั้งแรกในปี 1914

        ในช่วงศตวรรษที่ 19 ยาสีฟันแบบเหลวยังคงได้รับความนิยมน้อยกว่ายาสีฟันแบบผงจนกะทั่งถึงช่วง สงครามโลกครั้ง 1 ทั้งนี้ บริษัทคอลเกตถือเป็นผู้ผลิตเจ้าแรกที่คิดค้นยาสีฟันแบบหลอดบีบขึ้นมาเมื่อปี 1896 และลักษณะเช่นนี้ก็ยังคงมีใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน