welcome to my blog ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกค้ะ

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

น้ำยาล้างผักสูตรทำเองง่ายๆ

การขนส่งผักกว่าจะถึงมือผู้ซื้อ แน่ใจได้อย่างไรว่าสะอาด ปลอดภัย และปราศจากสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การใช้น้ำยาล้างผัก สามารถลดสารพิษในผักได้มากกว่าการล้างด้วยน้ำเปล่า จะซื้อหามาใช้งาน หรือต้องการประหยัดด้วยการทำเอง ก็มีสูตรน้ำยาล้างผักที่สามารถทำเองได้ง่ายๆ มาแนะนำ 3 สูตร ดังนี้
1. สูตรน้ำส้มสายชู (ลดสารพิษได้ถึง 90-95%)นำน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาดหรือน้ำประปาธรรมดา 15-20 ลิตรแล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง
2. สูตรน้ำเกลือ (ลดสารพิษได้ถึง 60-70%)นำเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 4-5 ลิตรแล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3- 4 ครั้ง
3. สูตรน้ำโซเดียมไบคาร์บอเนต (ลดสารพิษได้ถึง 90-95%)นำโซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 20-25 ลิตรแล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้งการรับประทานผักมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรล้างก่อนรับประทาน เพราะ ช่วยให้ผักสะอาด และลดสารพิษที่ปนเปื้อนมากับผักได้ ใส่ใจสักนิดเพื่อสุขภาพของตัวคุณ

น้ำมะเน็ด ในขวดแบบโบราณ

น้ำมะเน็ดเป็นน้ำอัดลมชนิดหนึ่งที่คนไทยเรียกเพี้ยนมาจากน้ำ Lemonade ของฝรั่งคำว่า Lemonade แปลว่าน้ำมะนาวก็จริง แต่น้ำมะเน็ดไม่ใช่น้ำมะนาวเปรี้ยวแท้ๆแต่เป็นน้ำมะนาวปลอมๆ ที่มีการแต่งรสแต่งสีแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับน้ำอัดลมในยุคปัจจุบันคงใกล้เคียงกับน้ำสไปรท์
ฝรั่งเริ่มผลิตน้ำมะเน็ดขายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แต่ต้องหลังจากจาคอบ ชเวพ (Jacob Schwepp) คิดทำน้ำโซดาได้เมื่อ พ.ศ. 2335หรือเมื่อราว 200 ปีก่อน
สำหรับในเมืองไทยนั้นพบโฆษณาขายน้ำมะเน็ดในหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์ของหมอบรัดเลย์ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ.1866 โดยน้ำมะเน็ดในสมัยก่อนจะบรรจุอยู่ในชวดรีๆ แบบลูกรักบี้ และปิดปากขวดด้วยจุกไม้ก๊อก เขาออกแบบขวดให้วางนอนขนานกับพื้นอยู่เสมอเพื่อไม่ให้จุกก๊อกแห้งและหด อ้างอิงตามรูปในหนังสือThe Art of the Label ของ Robert Opie ยอดนักสะสมบรรจุภัณฑ์ หน้า 10กับหน้า 65
จนเมื่อ ค.ศ. 1875 หรือ พ.ศ. 2418 ตรงกับต้นสมัยรัชกาลที่ 5 มีการประดิษฐ์ขวดแบบคอคอด และมีจุกลูกแก้วอยู่ที่ปากขวดโดย Hirem Codd จึงมีการบรรจุน้ำมะเน็ด รวมทั้งน้ำโซดา และน้ำอัดลมอื่นๆ ลงในขวดชนิดนี้ ในการบรรจุต้องจับหัวขวดให้คว่ำลง เมื่อน้ำอัดลมเข้าไปในขวดแล้ว แรงแก๊สจะดันลูกแก้วให้ลอยขึ้นไปแนบและแน่นติดกับวงแหวนยางที่ปากขวด เมื่อจะดื่มต้องเอาไม้กระแทกลูกแก้วลงไปแรงๆ ส่วนวิธีรินไม่ให้ลูกแก้วกลิ้งมาปิดปากขวด คือ ต้องหมุนขวดให้ลูกแก้วไปตกอยู่ระหว่างคอหยักที่เขาทำไว้จึงจะรินน้ำได้สะดวก
น้ำมะเน็ดเคยมีขายตามโรงหนังและตามร้านต่างๆ อยู่นานพอสมควรแต่ในที่สุดก็หายไปจากเมืองไทยเมื่อราว 50-60 ปีก่อน

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

croissant history

A little history of the Croissant





The manufacture of the Croissants lead us back to the year 1683, a time the Turks invaded the "Holy Roman Empire of German Nation" and the siege of Vienna was under way.



On July 14. of this same year, the great Turkish Vizier tried to penetrate in the city, but was not able to succeed. In order to occupy the Turkish armee planned to enter the Vienna by a trick, a great plan, except one variable they could not have expected - a baker by the name of Peter Wender.











In the night of August 26, 1683 the baker, who began his work heard suspect noises coming from the ground. He gave alarm and alerted the city army and soon they discovered that turk soldiers were occupied digging mines under the city walls and placing explosives within their tunnels. Once the city was alerted there plan failed and the turks had to flee.




In the honour of this rescue, the bakers Viennese decided to make a bread having the shape of the emblem of the Turkish flag (the crescent). On this time the croissant was made from a rich bread dough.







Actually the Croissant was not really known on France. This changed during the World Fair of 1889, where Viennese bakers took part.



Today, the typically Viennese Croissant disappeared, except in Austria. It was replaced since 1920 by the laminated Croissant and begun its victory across all borders - now known as the French Croissant.

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประเภทและชนิดของช๊อกโกแลต

ประเภทและชนิดของช็อกโกแลต

ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตมีอยู่ 3 ประเภทหลัก ได้แก่

1.ช็อกโกแลตธรรมดา (Dark Chocolate)

มีชื่อเรียกหลายชื่อเช่น continental, luxury, bitter มีปริมาณของโกโก้เหลวสูงประมาณ 75% ใส่น้ำตาลเพียงเล็กน้อยหรือไม่ใส่เลย มีสีดำและรสเข้มข้น เหมาะมากสำหรับใช้เป็นส่วนประกอบในการทำเค้กหรือของหวานต่างๆ

-ช็อกโกแลตคูแวร์ตู (Couverture)

มีความมันแวววาวสวยงาม จึงนิยมใช้สำหรับการทำช็อกโกแลตที่ทำด้วยมือ เคลือบลูกกวาดและใช้สำหรับตกแต่งขนมต่างๆ เพราะจะให้ความรู้สึกที่ดีสวยงามน่ากิน

2.ช็อกโกแลตนม (Milk Chocolate)

มีโกโก้เหลว 20% กับนมผงหรือนมก้อน มีกลิ่นและรสอ่อน รสชาติหวาน เป็นช็อกโกแลตที่นิยมกินกันมากที่สุด แต่ไม่เหมาะที่จะใช้สำหรับละลายเพื่อทำอาหาร

-ช็อกโกแลตแบบไม่หวาน (Unsweetened Chocolate)

เหมาะสำหรับใช้ทำอาหาร มีโกโก้เหลว 30-70% คุณภาพรสชาติจะดีมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของโกโก้เหลว

-ช็อกโกแลตผง (Chocolate powder)

เหมาะสำหรับใช้ทำขนมปังและเครื่องดื่ม มีส่วนผสมของโกโก้เหลวน้อยกว่า แต่รสชาติหวานกว่าโกโก้แบบผง

-ช็อกโกแลตชิพ (Chocolate chips)

เป็นช็อกโกแลตชิ้นเล็กๆ รูปร่างและขนาดเท่ากัน มีทั้งที่ทำจากช็อกโกแลตดำ ช็อกโกแลตนม และช็อกโกแลตขาว

-ช็อกโกแลตออกานิค (Organic chocolate)

เป็นช็อกโกแลตคุณภาพสูง ราคาแพงกว่าชนิดอื่น เพราะมีการควบคุมปริมาณของสารตกค้าง สารพิษ และยาฆ่าแมลงในทุกๆ ขั้นตอนของกระบวนผลิต

3.ช็อกโกแลตขาว (White chocolate)

ไม่มีส่วนผสมของโกโก้เหลว แต่ใช้เนยโกโก้แทน มีรสชาติหวานช็อกโกแลตขาวที่มีคุณภาพดีสังเกตได้จากรสชาติและความนุ่ม

-โกโก้ (Cacao)

ทำมาจากโกโก้บริสุทธิ์หลังจากสกัดเนยโกโก้ออกแล้วนำไปคั่ว และบดให้เป็นผง นิยมใช้ทำของหวานและการปรับปรุงแต่งรสชาติช็อกโกแลต

-ช็อกโกแลตเคลือบขนมเค้ก (Chocolate-flavored Cake Covering)

มีส่วนผสมของน้ำตาลน้ำมันพืช โกโก้และกลิ่นปรุงแต่ง รสชาติไม่ค่อยดี มีไขมันสูง เวลาใช้ควรจะเติมช็อกโกแลตธรรมดาลงผสมเพื่อเพิ่มรสชาติ

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แดนปลาดิบต้นกำเนิด 'คาราโอเกะ'

ในภาษาญี่ปุ่น 'คารา' (Kara) แปลว่า ว่างเปล่า ส่วน 'โอเกะ' (oke) หมายถึง ออเครสตรา ซึ่งในภาษาอังกฤษ แปลว่า ดนตรี เมื่อนำทั้ง 2 คำมาผสมกัน คาราโอเกะ จึงหมายถึง ดนตรีที่ปราศจากเสียงร้อง

คาราโอเกะถือเป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่งที่อยู่ในรูปแบบของเพลงที่ไม่มีเสียงร้องของศิลปิน เพื่อให้เราร้องผ่านไมโครโฟนแทน โดยมีเนื้อเพลงขึ้นมาแสดงบนหน้าจอเพื่อช่วยในการร้อง

ต้นกำเนิดคาราโอเกะนั้น เกิดขึ้นหลังจากช่วงที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ซึ่งสภาพสังคมของชาวอาทิตย์อุทัยในสมัยนั้นค่อนข้างเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด กดดันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง จึงมีผู้พยายามคิดหาวิธีการบรรเทาความเครียดในหลายรูปแบบ และหนึ่งในนั้นก็คือ การร้องเพลงแบบคาราโอเกะนี่เอง

คาราโอเกะถือกำเนิดขึ้นที่เมืองโกเบ ราวทศวรรษที่ 1970 จากความคิดของเจ้าของร้านเหล้าแห่งหนึ่งที่กำลังประสบปัญหาขาดนักร้องและวงดนตรีที่เคยเล่นประจำที่ร้าน เขาจึงนำเทปเพลงที่มีดนตรีเพียงอย่างเดียวมาเปิดให้ลูกค้าในร้านได้ผลัดเปลี่ยนกันร้อง จนกลายมาเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมในหมู่นักธุรกิจทั่วไป

เหตุผลที่ทำให้คาราโอเกะเป็นที่นิยมชมชอบของคนหมู่มากน่าจะเป็นเพราะการร้องเพลงคาราโอเกะแตกต่างจากการร้องเพลงทั่วไป กล่าวคือ ผู้ร้องสามารถควบคุมการร้องได้ด้วยตนเอง สามารถเลือกเพลงเองได้ และยังช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ในหมู่เพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหายได้ด้วย

ปัจจุบัน คาราโอเกะมีวิวัฒนาการมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จากเดิมที่มีแต่เสียงดนตรีให้ร้องตามทำนอง ต่อมาก็มีภาพมิวสิกวิดีโอประกอบ พร้อมกับแสดงเนื้อเพลงไว้ด้านล่างเพื่อช่วยผู้ร้องที่ไม่สันทัดเรื่องจำเนื้อเพลงด้วย

ประวัติความเป็นมาของกีตาร์

กีตาร์ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์เพียงแต่ชื่อเรียกและรูปร่างย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัย ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเปอร์เซียและตะวันออกกลางหลายประเทศต่อมาได้เผยแพร่ไปยังกรุงโรมโดยชาวโรมันหรือชาวมัวร์ จากนั้นก็เริ่มได้รับความนิยมในสเปน ในยุโรปกีตาร์มักเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง และมีเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ที่ให้ความสนใจและศึกษาอย่างเช่น Queen Elizabeth I ซึ่งโปรดกับ Lute lซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของกีตาร์ก็ว่าได้ แต่การพัฒนาที่แท้จริงนั้นได้เกิดจากการที่นักดนตรีได้นำมันไปแสดงหรือเล่นร่วมกับวงดนตรีของประชาชนทั่ว ๆ ไปทำให้มีการเผยแพร่ไปยังระดับประชาชนจนได้มีการนำไปผสมผสานเข้ากับเพลงพื้นบ้านทั่ว ๆ ไปและเกิดแนวดนตรีในแบบต่าง ๆ มากขึ้น

ผู้หนึ่งที่สมควรจะกล่าวถึงเมื่อพูดถึงประวัติของกีตาร์ก็คือ Fernando Sor ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อวงการกีตาร์เป็นอันมากเนื่องจาการอุทิศตนให้กับการพัฒนารูปแบบการเล่นกีตาร์เทคนิคต่าง ๆ และได้แต่งตำราไว้มากมาย ในปี 1813 เขาเดินทางไปยังปารีตซึ่งเขาได้รับความสำเร็จและความนิยมอย่างมาก จากนั้นก็ได้เดินทางไปยังลอนดอนโดยพระราชูปถัมป์ของ Duke of Sussex และที่นั่นการแสดงของเขาทำให้กีตาร์เริ่มได้รับความนิยม จากอังกฤษเขาได้เดินทางไปยังปรัสเซีย รัสเซียและได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งที่นั่นเขาได้แต่งเพลงที่มีความสำคัญอย่างมากเพลงหนึ่งถวายแก่พระเจ้า Nicolus I จากนั้นเขาก็ได้กลับมายังปารีตจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี 1839 หลังจากนั้นได้มีการเรียนีการสอนทฤษฎีกีตาร์ที่เด่นชัดและสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้กีตาร์ได้รับการพัฒนาอย่างมาก หลังจากนั้นมีอีกผู้หนึ่งที่มีความสำคัญต่อกีตาร์เช่นกันคือ Francisco Tarrega (1854-1909) ซึ่งเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่ด้วยความสามารถด้านดนตรีของเขาก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนได้จากการแสดง ณ Alhambra Theater จากนั้นเขาได้เดินทางไปยัง Valencia, Lyons และ Paris เขาได้รับการยกย่องว่าได้รวมเอาคุณสมบัติของเครื่องดนตรี 3 ชนิดมารวมกันคือ ไวโอลิน, เปียโน และ รวมเข้ากับเสียงของกีตาร์ได้อย่างไพเราะกลมกลืน ทุกคนที่ได้ฟังเขาเล่นต่างบอกว่าเขาเล่นได้อย่างมีเอกลักษณ์และสำเนียงที่มีความไพเราะน่าทึ่ง หลังจากเขาประสบความสำเร็จใน London, Brussels, Berne และ Rome เขาก็ได้เดินทางกลับบ้านและได้เริ่มอุทิศตนให้กับการแต่งเพลงและสอนกีตาร์อย่างจริงจัง ซึ่งนักกีตาร์ในรุ่นหลัง ๆ ได้ยกย่องว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มการสอนกีตาร์ยุคใหม่

อีกคนหนึ่งที่จะขาดไม่ได้คือ Andres Sergovia ผู้ซึ่งเดินทางแสดงและเผยแพร่กีตาร์มาแล้วเกือบทั่วโลกเพื่อให้คนได้รู้จักกีตาร์มากขึ้น (แต่คงไม่ได้มาเมืองไทยน่ะครับ) ทั้งการแสดงเดี่ยวหรือเล่นกับวงออเคสตร้า จนเป็นแรงบันดาลใจให้มีการแต่งตำราและบทเพลงของกีตาร์ขึ้นมาอีกมากมาย อันเนื่องมาจากการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องกีตาร์อย่างเปิดเผยและจริงจังของเขาผู้นี้ นอกจากนี้ผลงานต่าง ๆ ของเขาได้ทำให้ประวัติศาสตร์กีตาร์เปลี่ยนหน้าใหม่เพราะทำให้นักีตาร์ได้มีโอกาสแสดงใน concert hall มากขึ้น และทำให้เกิดครูและหลักสูตรกีตาร์ขึ้นในโรงเรียนดนตรีอีกด้วย