welcome to my blog ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกค้ะ

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มาดู... “คอมพิวเตอร์“ เครื่องแรกของไทยกัน


เชื่อไหมว่า...นี่คือ "คอมพิวเตอร์" เพื่อนๆ หลายคนคงไม่เชื่อสายตาสินะว่าเจ้าเครื่องหน้าตาประหลาด มีปุ่มเยอะแยะนี้ จะเป็นคอมพิวเตอร์ไปได้ซึ่งมันมีหน้าตาที่ต่างจากคอมพิวเตอร์ในสมัยนี้อย่าง มากเลยเชียวแต่เชื่อเถอะค่ะ... เพราะมันคือ คอมพิวเตอร์ จริงๆ

แถมยังเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ประเทศไทยเราได้เริ่มใช้อีกด้วย!

สำหรับหน้าตาแปลกๆ ที่ไม่คุ้นเคยของคอมพิวเตอร์ที่เห็นอยู่นี้คือ IBM 1620แถยยังเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของประเทศไทยเรา ถูกติดตั้งที่ภาควิชาสถิติคณะพานิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2506

ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจำกัดมูลค่าของคอมพิวเตอร์ IBM 1620 ในขณะนั้นประมาณ สองล้านบาทเศเพื่อใช้ในงานการสอนและ บริการวิชาครู

ปัจจุบันหมดอายุใช้งานไปแล้วจึงได้มอบให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์เพื่อการศึกษาท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพ เพื่อแสดงให้แก่ผู้สนใจทั่วไป

ส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองคือ IBM 1401 ถูกติดตั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติในเดือน มีนาคม พ.ศ. 2507 มูลค่าเครื่องประมาณ แปดล้านบาท

ปล. ภาพประกอบเป็นเพียงรุ่นของคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ที่เรานำมาให้ได้ดูส่วนของจริงหากเพื่อนๆ คนไหนสนใจอยากชม เชิญไปดูได้ที่ศูนย์บริภัณฑ์เพื่อการศึกษาท้องฟ้าจำลองนะค่ะ กับคอมพิวเตอร์บรรพบุรุษเครื่องแรกของไทยเรา

ออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการจดจำ


การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 1 ปี สามารถเพิ่มพื้นที่ส่วนความจำในสมองได้

คนที่อายุประมาณ 55 ปีขึ้นไปนั้น มักจำเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บก็จะแวะเวียนเข้ามาถามหาอย่างไม่ขาดสาย รวมไปถึงอาการหลงลืมบ้างซึ่งเป็นไปตามวัยของผู้สูงอายุ ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยค้นพบว่า การออกกำลังกายจะทำให้ความสามารถในการจดจำดีขึ้น

การศึกษาในครั้งนี้ เกิดขึ้นโดยนักวิจัยจาก University of Pittsburgh, University of Illinois, Rice University, และ Ohio State University ซึ่งผลที่ได้จากการศึกษานับว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง มันแสดงให้เห็นว่า ในผู้สูงอายุที่มีการใช้เวลาเพียงเล็กน้อยต่อวันไปกับการออกกำลังกายโดยที่ มีการทำอย่างสม่ำเสมอ สุขภาพและหน่วยความจำของสมองจะดีขึ้น โดยการออกกำลังกายนั้น จะช่วยเพิ่มพื้นที่ในส่วน Hippocampus ของสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความทรงจำระยะยาว

สำหรับการศึกษาทดลอง นักวิจัยได้คัดเลือกผู้สูงอายุมาจำนวน 120 คนที่ไม่ได้เป็นโรคสมองเสื่อมหรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบสมอง ทำการสุ่มแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกให้ออกกำลังกายโดยการเดินหรือแอโรบิกเป็นเวลา 40 นาทีต่อวันอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3 วัน และอีกกลุ่มนั้นโดนจำกัดให้มีการเคลื่อนไหวบิดตัวแค่ยืดกล้ามเนื้อเล็กๆ น้อยๆและการออกกำลังกายทั่วๆไปเท่านั้น

ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่มีการออกกำลังกายแบบแอโรบิกนั้น แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ส่วน Hippocampus ในสมอง ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา ร้อยละ 2.12 และ 1.97 ตามลำดับ ซึ่งในพื้นที่ของสมองส่วนเดียวกันของผู้ที่แค่บิดตัวยืดกล้ามเนื้อ กลับมีการลดลงในปริมาณร้อยละ 1.40 และ 1.43 ตามลำดับ

การเสื่อมลงของพื้นที่ส่วน Hippocampus สมองของคนเรา นับว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่การศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในระดับที่พอดีๆเป็นเวลา 1 ปีนั้น จะสามารถเพิ่มขนาดของพื้นที่ในการสร้างหน่วยความจำนี้ได้อย่างแท้จริง

การออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังจะมีผลทำให้จิตใจแจ่มใส อีกทั้งยังมีผลดีทางอ้อม คือทำให้ผู้สูงอายุมีการทรงตัวที่ดีขึ้น ลดอุบัติการณ์การลื่นล้มซึ่งเป็นสาเหตุของกระดูกหักได้อีกด้วย การออกกำลังกายในผู้สูงอายุ ควรเป็นการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ เช่นการวิ่งเหยาะๆ (ในกรณีที่ไม่มีข้อเข่าเสื่อม) การเดิน การเต้นแอโรบิก หรือการรำมวยจีน เป็นต้น

10 วิธีแก้เครียด ของประชาชน


ข่าวคราวสถานการณ์ความไม่สงบของบ้านเมือง ทำเอาประชาชนหลายคนอาจตกอยู่ในเครียด วันนี้เรามี 10วิธีแก้เครียดมาฝาก เริ่มจาก

อันดับ 1 เปลี่ยนช่อง /ปิดทีวีหรือหยุดติดตามข่าวจากสื่อต่างๆสักพัก / หลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องการเมือง 16.82%

อันดับ 2 หาขนมหรือเครื่องดื่มเย็นๆมาทาน /ทำอาหารทานกันเองภายในครอบครัว 14.37%

อันดับ 3 ทำใจให้สบาย ปล่อยวาง อย่าไปเครียดตามข่าว 13.16%

อันดับ 4 หาหนังสือมาอ่านเล่น เช่น นิตยสาร นิยาย เรื่องสั้น ฯลฯ 11.81%

อันดับ 5 ดูหนัง ฟังเพลง 10.29%

อันดับ 6 พึ่งธรรมะ สวดมนต์ ทำบุญ ทำทาน 8.76%

อันดับ 7 ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ 8.02%

อันดับ 8 เดินห้างสรรพสินค้า ช็อปปิ้ง 7.96%

อันดับ 9 ออกไปเที่ยวต่างจังหวัด 6.54%

อันดับ 10 เล่นกีฬา ออกกำลังกาย 2.27%

แต่ละคนก็มีวิธีแก้เครียดแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่จะไม่เสพสื่อและข่าวต่างๆ เกี่ยวกับการเมือง และหันไปทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ กับครอบครัวหรือคนรัก ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้ชีวิตและเวลาวันหยุดให้มีคุณค่า...

4 วิธีฟิตสมองในตอนเช้า


1. หลับตาอาบน้ำ เปิดก็อกน้ำ ปรับความแรงหรืออุณหภูมิของน้ำโดยใช้ประสาทสัมผัสและความรู้สึก (อย่าลืมฝึกวิธีปรับอุณหภูมิให้แม่นก่อนลงมือเพื่อป้องกันน้ำร้อนลวกตัว) หลับตาใช้มือสัมผัสหาอุปกรณ์อาบน้ำ จากนั้นจึงล้างหน้า อาบน้ำหรือโกนหนวด

2.เกมสลับมือ ขยับสมอง ฝึกใช้มือข้างที่คุณไม่ถนัด แปรงฟัน หมุนฝาหลอดยาสีฟันและป้ายยาสีฟันบนแปรง อาจใช้วิธีนี้กับกิจกรรมยามเช้าอื่นๆ ...การฝึกลักษณะนี้เป็นการกระตุ้นสมองส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ให้เริ่มสั่งการเพื่อปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ที่สมองซีกนี้ไม่ค่อยมีส่วนร่วม มีการวิจัยพบว่าการฝึกเช่นนี้ส่งผลให้วงจรและเครือข่ายสมองในส่วนเยื่อหุ้ม สมองคอร์แทกซ์ที่ทำหน้าที่ควบคุม และรับส่งคำสั่งจากมือ มีการขยายตัวอย่างมากและในอัตราที่รวดเร็ว หรืออาจลองทำสิ่งต่างๆด้วยมือข้างเดียว ก็ได้

3. อยู่ในโลกไร้เสียง ปิดหูด้วยการใส่หูฟังขณะรับประทานอาหารกับครอบครัวเพื่อสัมผัสโลกเงียบ...คน ใกล้ตัวคงเคยบ่นว่าคุณฟังสิ่งที่เขาพูดเพียงครึ่งเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นตอนยุ่งอยู่ ลองฝึกตัวเองด้วยวิธีนี้จะทำให้คุณบังคับตัวเองให้ใช้ตัวช่วยอื่นในการทำ กิจกรรม เช่น รู้ว่าขนมปังปิ้งที่อยู่ในเครื่องปิ้งได้ที่แล้วโดยไม่ต้องพึ่งเสียง

4. เช้าวันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ลองเลือกกิจกรรมต่อไปนี้หนึ่งหรือสองข้อ แต่ไม่ควรทำหมดทุกข้อในเช้าวันเดียวกัน

• สลับลำดับกิจวัตรตอนเช้า เช่น ถ้าคุณเคยแต่งตัวก่อนกินข้าว ลองเปลี่ยนมากินข้าวก่อนแต่งตัว

• ถ้าคุณเคยรับประทานกาแฟกับขนมปังทุกเช้า ลองเป็นข้าวโอ๊ตและชาสุขภาพ หรืออาหารอื่นบ้าง

• เปลี่ยนเสียงนาฬิกาปลุก เปลี่ยนรายการวิทยุ หรือทีวีไปเป็นรายการที่คุณไม่เคยฟัง รายการเด็กเป็นตัวอย่างที่ดีในการกระตุ้นสมองให้สนใจในเรื่องที่คุณเคยมอง ข้าม

• เปลี่ยนเส้นทางที่จะเดินทางไปเรียนหรือทำงาน

จากการศึกษาภาพถ่ายของสมอง กิจกรรมใหม่ๆจะกระตุ้นเซลล์ประสาทที่กินพื้นที่สมองชั้นนอกในบริเวณกว้าง วิธีเติมกิจกรรมใหม่นี้จะให้ผลลดลงเมื่อกิจกรรมนั้นกลายเป็นสิ่งที่ทำเป็น กิจวัตรหรือเป็นอัตโนมัติ เนื่องจากสมองต้องใช้พลังในการทำสิ่งใหม่ๆ มากกว่าต่อนทำกิจกรรมที่ทำจนชินแล้ว

เพราะเหตุใดเลือดกำเดาจึงไหล


นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่าร้อยละ ๙๐ ของอาการเลือด กำเดาไหล เรามักจะทราบสาเหตุเป็นต้นว่า อุบัติเหตุต่อจมูก การติดเชื้อที่จมูก จมูก- อักเสบเนื้องอกบริเวณจมูก โรคเลือดออกง่าย โรคของหลอดเลือด เป็นต้นมีเพียง ร้อยละ ๑๐ ที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้

วิธีห้ามเลือดกำเดาวิธีพื้นฐาน คือ บีบจมูกทั้งสองข้างนานประมาณ ๕ - ๑๐ นาที โดยไม่จำเป็นต้องหาน้ำแข็งมาประคบแต่อย่างใด การบีบจมูกจะเป็นการกดเส้นเลือดที่เลือดกำเดาไหลออกมาโดยตรง เนื่องจากร้อยละ ๙๐ เลือดกำเดาไหลจากตำแหน่งส่วนหน้าของผนังกั้นกลางจมูก หากกดเป็นระยะแล้วเลือดยังไม่หยุด ควรไปพบแพทย์

การป้องกันไม่ให้เลือดกำเดาไหลอีก คือการป้องกัน อันตรายต่อจมูก ไม่แคะจมูก รวมทั้งป้องกันการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณจมูก รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ หากเลือดกำเดาไหลจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แพทย์อาจจะรักษาด้วยวิธีทางศัลยกรรม

เคล็ดลับ เรียนยังไงให้ได้เกรดเพิ่ม?


การจะเพิ่มเกรดเฉลี่ยจริงๆแล้วไม่ใช่ เรื่องที่ยากเย็นเกินไปนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยซะทีเดียว เพราะน้องๆต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างออกไป ซึ่งพฤติกรรมเหล่านั้นน้องๆหลายคนติดจนเป็นนิสัยไปเสียแล้ว แต่ไม่มีอะไรยากเกินไปแน่นอน ถ้าเราตั้งใจทำจริง เอาหละครับที่นี้เรามาเข้าเรื่องกันเลยกว่า พี่มี 5 ข้อสำหรับน้องที่ต้องพยายามปฎิบัติให้ได้นะครับ ถ้าทำได้ตามนี้ รับรองเกรดพุ่งแน่ๆครับ

1. ข้อนี้ง่ายๆครับไม่ยาก นั้งแถวแรกของห้องเรียน น้องๆ ส่วนใหญ่ 80% ที่เกรดไม่ดีจะนั่งหลังห้อง บางครั้งอาจารย์พูดสอนอะไรอาจจะได้ยินไม่ชัดเจน หรือบางครั้งถ้าเราไม่รู้จักควบคุมตัวเองก็จะไขว่เขวได้ง่าย เพราะฉนั้นมานั้งหน้าห้องซะดีๆ

2. เอาหนังสือมาเรียนด้วยทุกครั้ง (ย้ำว่าต้องเป็นของตัวเองนะครับ) พอเราปรับพื้นที่มานั่งโซนหน้าห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่นี่ได้ยินได้เห็นสิ่งที่อาจารย์สอนชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ก็จดสิ่งที่เป็นประโยชน์ลงไปในหนังสือทุกครั้ง จะได้เก็บเอาไปทบทวนที่บ้านได้ด้วย

3. ทำการบ้านเองทุกครั้ง เมื่อมีสมาธิกับการเรียนแล้ว พี่คิดว่าเราคงพอจะทำการบ้านเองได้บ้าง ถ้าวิชาไหนไม่ไหวจริงๆก็ถามเพื่อน คิดว่าน่าจะช่วยให้ผลการเรียนดีขึ้นมาในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว

4. บททวนบทเรียน เราตั้งใจเรียน ทำการบ้านเอง ทบทวงอีกเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วครับ

5. เลือกคบเพื่อน เพื่อนที่เราคบอยู่มีส่วนมากๆเลยนะครับที่จะช่วยทำให้ผลการเรียนดีขึ้น (ไม่ได้ให้ไปเลิกคบเพื่อนที่คบอยู่นะครับ) แค่ออกห่างมานิดหน่อยแล้วเปิดใจคบเพื่อนกลุ่มใหม่บ้าง เลือกคบเพื่อนที่ดูแล้วเขาสามารถช่วยเหลือเรื่องการเรียนเราได้บ้าง มีอะไรจะได้ปรึกษาหารือกัน

ถ้าทำทั้ง 5 ข้อนี้ได้รับรองเกรดเพิ่ม แน่ ๆ ทุกข้อที่กล่าวมาไม่ได้อยากเลยนะครับ ตั้งใจ ใส่ความพยายามลงไปสักนิด คิดว่ายังไงก็ต้องสำเร็จครับ สู้ๆๆๆ

ประวัติ โคโลญ น้ำหอมกลิ่นอ่อน


โคโลญ เป็นน้ำหอมกลิ่นอ่อนและมีคุณสมบัติเย็น มักใช้หลังอาบน้ำเสร็จ เพื่อให้ร่างกายหอมสดชื่น ซึ่งโคโลญนี้มาจากชื่อเมืองโคโลญ (Cologne)

โคโลญ เป็นน้ำหอมกลิ่นอ่อน เจือจาง และมีคุณสมบัติเย็น มักใช้หลังอาบน้ำเสร็จ เพื่อให้ร่างกายหอมสดชื่น ซึ่งโคโลญนี้มาจากชื่อเมืองโคโลญ (Cologne) อยู่ในประเทศเยอรมัน

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อช่วงยุคกลางของยุโรป เกิดกาฬโรคระบาดที่เมืองโคโลญประชาชนต่างตื่นตัว กระทำการทุกอย่างเพื่อป้องกันตนเองจากโรคนี้ ปรากฏว่าในกระบวนการรักษาเยียวยาและป้องกันนั้น บรรดายาและผลิตภัณฑ์ทั้งหลายที่ผลิตออกมา มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น ซึ่งได้นำมาใช้ทั้งการดื่มและทาเพื่อเป็นการป้องกันโรค

ต่อมาในปี ค.ศ. 1709 ช่างตัดผมชาวอิตาเลียน ชื่อนายฟารินา (Farina) อพยพมาอยู่เมืองโคโลญ เขาสนใจวิธีการรักษากาฬโรคแบบโบราณนี้อย่างยิ่ง และพบว่าผู้คนในเมืองต่างใช้น้ำยาป้องกันกาฬโรคเป็นน้ำหอมราคาถูกโดยใช้หลัง จากโกนหนวด ฟารินาเลิกอาชีพตัดผม หันมาจับอาชีพผลิตน้ำหอมขึ้นมาให้ชื่อว่า "โอ เดอ โคโลญ" (eau de Cologne) ออกจำหน่าย ปรากฏว่าเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาร่ำรวยมหาศาล และเขาใช้ชื่อเมืองเป็นชื่อสินค้าของเขาอย่างถาวร

รู้โรคจากกลิ่นลมหายใจ


สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั่นคือ กลิ่นปาก หรือ กลิ่นลมหายใจ ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆที่ทำให้เราสูญเสียความมั่นใจเท่านั้น ยังสามารถสื่อถึงอาการของโรคต่าง ๆ ที่แอบแฝงอยู่ในร่างกายเราได้ ดังนั้นคนที่มีกลิ่นปากหรือกลิ่นลมหายใจเหม็น หรือ ผิดปกติไป คุณควรให้ความใส่ใจดูแล หรือ ไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายบ้างนะค่ะ

ดังนั้น เราลองมาดูตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ กันว่า กลิ่นแบบไหน สื่อถึงโรคใด

• กลิ่นลมหายใจ มีกลิ่นคล้ายเนย ระวัง ...โรคไซนัสอักเสบ

• กลิ่นลมหายใจคล้ายผลไม้หอมหวาน ระวัง...โรคเบาหวาน

• กลิ่นลมหายใจคาว ระวัง...โรคตับจะถามหา

• กลิ่นลมหายใจคล้ายกลิ่นน้ำปัสสาวะ ระวัง...โรคไตค่ะ แสดงว่าไตขับของเสียไม่หมด และมีการดูดกลับเข้ากระแสเลือด

• กลิ่นลมหายใจคล้ายกลิ่นคาวเลือด ระวัง...โรคเหลือง

• กลิ่นลมหายใจคล้ายโรงเลี้ยงสัตว์ เหม็นคาว ระวัง... โรคไข้ทรพิษ

• กลิ่นลมหายใจคล้ายขนมปังอบใหม่ ระวัง ...โรคไข้รากสาดน้อย

• กลิ่นลมหายใจเหม็นเน่า ระวัง ...โรคเลือดออกตามไรฟัน

• กลิ่นลมหายใจคล้ายขนมปังเหม็นบูด ระวัง ..... โรคขาดสารอาหารจำพวกไนอาซีน และวิตามินบี 6

กลิ่นลมหายใจมาจากเสมหะเหม็นเน่า แสดงถึงการติดเชื้อขั้นรุนแรงแล้ว

• กลิ่นลมหายใจมีกลิ่นเหมือนแก๊ซ ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษเข้าไป ร่างกายจึงมีการขับก๊าซคาร์บอไดออกไซด์ออกมา

• กลิ่นลมหายใจมีกลิ่นฝรั่งสุก ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษจำพวกฟอสฟอรัสเข้าไป

• กลิ่นลมหายใจมีกลิ่นหญ้าไหม้ พบในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษพวกกัญชาค่ะ

แค่สังเกตลมหายใจ ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เบื้องต้นแล้ว ซึ่งแพทย์ในสมัยก่อนก็ใช้วิธีนี้ในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นได้อย่างแม่นยำ

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

History Of Tom & Jerry


History Of Tom & Jerry

Tom and Jerry is an American animated series of theatrical shorts, television shows and specials, feature film, home films created by William Hanna and Joseph Barbera for Metro-Goldwyn-Mayer that centered on a never-ending rivalry between a cat (Tom) and a mouse (Jerry) whose chases and battles often involved comic violence. Hanna and Barbera ultimately wrote and directed one hundred and fourteen Tom and Jerry cartoons at the MGM cartoon studio in Hollywood, California between 1940 and 1957, when the animation unit was closed. The original series is notable for having won the Academy Award for Animated Short Film seven times, tying it with Walt Disney's Silly Symphonies as the theatrical animated series with the most Oscars. Tom and Jerry has a worldwide audience that consists of children, teenagers and adults, and has also been recognized as one of the most famous and longest-lived rivalries in American cinema. In 2000, TIME named the series one of the greatest television shows of all time.

Beginning in 1960, in addition to the original 114 H-B cartoons, MGM had new shorts produced by Rembrandt Films, led by Gene Deitch in Eastern Europe. Production of Tom and Jerry shorts returned to Hollywood under Chuck Jones's Sib-Tower 12 Productions in 1963; this series lasted until 1967, making it a total of 161 shorts. The cat and mouse stars later resurfaced in television cartoons produced by Hanna-Barbera and Filmation Studios during the 1970s, 1980s, and 1990s; a feature film, Tom and Jerry: The Movie, in 1992 (released domestically in 1993); and in 2000, their first made-for TV short, Tom and Jerry: The Mansion Cat for Cartoon Network. The most recent Tom and Jerry theatrical short, The Karate Guard, was written and co-directed by Barbera and debuted in Los Angeles cinemas on September 27, 2005.

Today, Time Warner (via its Turner Entertainment division) owns the rights to Tom and Jerry (with Warner Bros. handling distribution). Since the merger, Turner has produced the series, Tom and Jerry Tales for The CW's Saturday morning "The CW4Kids" lineup, as well as the recent Tom and Jerry short, The Karate Guard, in 2005 and a string of Tom and Jerry direct-to-video films - all in collaboration with Warner Bros. Animation. In February 2010, the cartoon celebrated its 70th anniversary and a DVD collection of 30 shorts, Tom and Jerry Deluxe Anniversary Collection, was released in late June 2010 to celebrate the animated duo's seventh decade. It then had a rerun on Cartoon Network.

ของขวัญวาเลนไทน์ยอดฮิต

1. ดอกไม้ ใครทายผิดนี่แย่มากแล้วนะ พิจารณาตัวเองได้แล้ว วาเลนไทน์มาคู่กับดอกไม้ จะสีอะไร จะสื่ออะไร จะใหญ่จะเล็ก เป็นพุ่มหรือดอกเดียว ยังไงก็ได้ แต่ดอกไม้นี่แหละ สุดยอดฮิตอมตะที่สุดในบรรดาของขวัญวาเลนไทน์แล้วค่ะ

2. ช๊อกโกเเล็ต อีกฟากฝั่งหนึ่งของความรัก ด้วยความเชื่อที่ว่า ผู้ชายให้ดอกไม้ ผู้หญิงให้ช๊อกโกเล็ตนี่เอง เจ้าช็อกโกแลต จึงกลายเป็นของขวัญวาเลนไทน์ยอดฮิต ที่ขายดิบ ขายดี ขึ้นมาเลย หนุ่มๆคนไหนหล่อเหลานี่ก็เตรียมรับกันไม่หวาดไม่ไหว จากสาวๆที่แอบปลื้มกันอยู่ค่ะ

3. ตุ๊กตา ติดทุกโพลล์ โผล่ทุกงานนะคะ สำหรับเจ้าตุ๊กตาน่ารักรูปแบบต่างๆ ซึ่งที่ฮิตที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นตุ๊กตาหมีเกาะกระแส Teddy Bear กันไปค่ะ

4. รูปภาพ จะเป็นกรอบรูป หรือรูปถ่ายสองเรา สติเกอร์ อัลบั้ม ก็เอาเถอะค่ะ เข้าทำนองของขวัญสิ้นคิดไปนิด แต่ก็ยอดฮิตตลอดกาลเหมือนกัน เพราะไม่แพงมาก แต่ดูมีความทรงจำค่ะ

5. กล่องดนตรี ข้อสุดท้ายนี้ คิดว่าหลายคนคงเห็นต่างๆกันไป แล้วแต่ความชอบแล้วล่ะคะ แต่หลายๆคนก็คงไม่ปฏิเสธนะว่า ทุกครั้งเวลาที่ไปเลือกซื้อของขวัญวาเลนไทน์ตามร้านกิฟท์ชอปเนี่ย กล่องดนตรีเป็นอีกอย่าง ที่คุณต้องจับมาหมุน มาไขเล่น ก่อนตัดสินใจ กันทุกคนนั่นแหละ จริงหรือเปล่าล่ะคะ

สีกุหลาบสื่อความหมาย

สีขาว ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ ความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่ผู้ที่ได้รับ

สีชมพู ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์

สีแดง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่ผู้ที่ได้รับ

จำนวนดอกกุหลาบและความหมาย
1 รักแรกพบ
2 แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
3 ฉันรักเธอ
7 คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
11 คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
13 เพื่อนแท้เสมอ
14 ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
15 ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
16 ชีวิตนี้ฉันมอบเพื่อเธอ
17 ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
18 ความรักของฉันเป็นรักแท้
19 ฉันรักเธอจนวันตาย
20 ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
21 ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
22 คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
23 ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย

Rose history

"The rose is one of the oldest flowers known to man, and still one of the most popular. Nebuchadnezzar used them to adorn his palace and in Persia, where they were grown for their perfume oil, the petals were used to fill the Sultan's mattress. In Kashmir the Moghul emperors cultivated beautiful rose gardens and roses were strewn in the river to welcome them on their return home. Roses later became synonymous with the worst excesses of the Roman Empire - the peasants were reduced to growing roses instead of food crops in order to satisfy the demands of their rulers. The emperors filled their swimming baths and fountains with rose-water and sat on carpets of of rose petals for their feasts and orgies. Heliogabalus used to enjoy showering his guests with rose petals which tumbled down from the ceiling during the festivities.

The Rose is the flower of love. It was created by Chloris, the Greek goddess of flowers, but of a lifeless body of a nymph which she found one day in a clearing in the woods. She asked the help of Aphrodite, the goddess of love, who gave her beauty; Dionysus, the god of wine, added nectar to give her a sweet scent, and the three Graces gave her charm, brightness and joy. Then Zephyr, the West Wind, blew away the clouds so that Apollo, the sun god, could shine and make the flower bloom. And so the Rose was."

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

mickey mouse

Mickey Mouse est un personnage de fiction appartenant à l'univers Disney, apparaissant principalement dans des dessins animés et dans des bandes dessinées. Véritable ambassadeur de la Walt Disney Company, il est présent dans la plupart des secteurs d'activité de la société, que ce soit l'animation, la télévision, les parcs d'attractions ou les produits de consommation. Mickey est utilisé comme un vecteur de communication et ses qualités doivent respecter la morale prônée par « Disney », que ce soit par Walt ou par l'entreprise elle-même. Mickey Mouse est connu et reconnu dans le monde entier, son célèbre profil formé de trois cercles étant devenu indissociable de la marque Disney. Mickey a été créé en 1928, après que Walt Disney eut dû laisser son premier personnage, Oswald le lapin chanceux, à son producteur. Les premiers courts métrages qui le mettent en scène sont principalement animés par Ub Iwerks[1], associé de Walt Disney au sein des studios Disney (alors installés dans le studio d'Hyperion Avenue). Il devient plus tard aussi un personnage de bandes dessinées, de longs métrages, de séries télévisées et d'une myriade de produits dérivés. Mickey Mouse représente une souris anthropomorphique. Il s'est d'abord, avant la première diffusion, nommé Mortimer Mouse ; c'est la femme de Disney qui, trouvant ce nom peu vendeur, a proposé Mickey. Pour la Walt Disney Company, la souris a comme date officielle de naissance le 18 novembre 1928, date de la première « présentation publique » du dessin animé Steamboat Willi Le personnage est aussi célèbre pour sa voix de fausset. C'est Walt Disney lui-même qui donna sa voix originale au personnage de Mickey, du premier dessin animé jusqu'en 1946, année au cours de laquelle Disney désigna Jim MacDonald pour le remplacer, en raison d'un problème de toux chronique dû à la cigarette[3]. Jim MacDonald est ensuite remplacé par Wayne Allwine, à partir de 1983. Mickey est souvent accompagné de son ami Dingo et de son chien Pluto. Il noue aussi une idylle avec Minnie, une autre souris qui voit le jour en même temps que lui. Mickey n'est pas resté longtemps uniquement sur les écrans. Il apparaît dans les journaux en bande dessinée quotidienne dès le 13 janvier 1930. Cette publication est distribuée par le King Features Syndicate, scénarisée par Walt Disney et dessinée par Ub Iwerks. Pour souligner l'importance de Mickey dans l'aventure globale de l'univers Disney, Walt Disney a déclaré, à propos de son personnage : « Tout ce que j'espère, c'est que l'on ne perde pas de vue une chose : tout a commencé avec une souris

The History of Saint Valentine's Day

Valentine's Day started in the time of the Roman Empire. In ancient Rome, February 14th was a holiday to honour Juno. Juno was the Queen of the Roman Gods and Goddesses. The Romans also knew her as the Goddess of women and marriage. The following day, February 15th, began the Feast of Lupercalia.


The lives of young boys and girls were strictly separate. However, one of the customs of the young people was name drawing. On the eve of the festival of Lupercalia the names of Roman girls were written on slips of paper and placed into jars. Each young man would draw a girl's name from the jar and would then be partners for the duration of the festival with the girl whom he chose. Sometimes the pairing of the children lasted an entire year, and often, they would fall in love and would later marry.


Under the rule of Emperor Claudius II Rome was involved in many bloody and unpopular campaigns. Claudius the Cruel was having a difficult time getting soldiers to join his military leagues. He believed that the reason was that roman men did not want to leave their loves or families. As a result, Claudius cancelled all marriages and engagements in Rome. The good Saint Valentine was a priest at Rome in the days of Claudius II. He and Saint Marius aided the Christian martyrs and secretly married couples, and for this kind deed Saint Valentine was apprehended and dragged before the Prefect of Rome, who condemned him to be beaten to death with clubs and to have his head cut off. He suffered martyrdom on the 14th day of February, about the year 270. At that time it was the custom in Rome, a very ancient custom, indeed, to celebrate in the month of February the Lupercalia, feasts in honour of a heathen god. On these occasions, amidst a variety of pagan ceremonies, the names of young women were placed in a box, from which they were drawn by the men as chance directed.


The pastors of the early Christian Church in Rome endeavoured to do away with the pagan element in these feasts by substituting the names of saints for those of maidens. And as the Lupercalia began about the middle of February, the pastors appear to have chosen Saint Valentine's Day for the celebration of this new feaSt. So it seems that the custom of young men choosing maidens for valentines, or saints as patrons for the coming year, arose in this way.