welcome to my blog ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกค้ะ

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

นิยายปรัมปรา เรื่องวิวัฒนาการของปลากับปอด

นิยายปรัมปรา เรื่องวิวัฒนาการของปลากับปอด


แหล่ง ข้อมูลของนักวิวัฒนาการนิยม ต่างยอมรับ ความเป็นไปเป็นมาการวิวัฒนาการจากปลากลายเป็นสัตว์บกที่ใช้ปอดในการหายใจ พวกมันกลายเป็นตำนานสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชนิดแรกๆ ที่อพยพขึ้นบก  เพื่อ สร้างกระแสให้กระพือขึ้นมา จึงต้องประโคมฉากการเปลี่ยนโครงสร้างจากเกล็ดกลายเป็นขาออก จากเหงือกกลายเป็นปอดสัตว์ เพื่อดึงออกซิเจนจากอากาศหายใจ (ดังที่เราเคยเห็นในสารคดีที่ถ่ายทอดในโทรทัศน์ หนังสือต่างๆ ฯลฯ ) การจัดฉากดังกล่าวเป็นเพียงแค่การคาดการณ์ของนักวิวัฒนาการนิยมเท่านั้น โดยปราศจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนไม่
ตรง กันข้าม หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ ต่างค้านกับความเชื่อของนักวิวัฒนาการนิยม โดยเฉพาะต่อความอ่อนหัดของนิยาย “วิวัฒนาการของปลากับปอด” ที่เรามักพบทั่วไปในงานวรรณกรรมของคนกลุ่มนี้
สัตว์ประเภท “ปลา” ที่เขาคิด สามารถใช้ปอด ในการดึงออกซิเจนจากอากาศ (อย่างสบายๆ-ผู้ แปล) โดยมีกระบวนการแมทาบอลิซึมคล้ายกับสัตว์ที่อาศัยบนบก (อย่างประหลาด-ผู้แปล) ทั้งๆที่เราทราบว่า ธรรมชาติของปลาโดยส่วนใหญ่แล้ว ต้องว่ายโพล่เหนือน้ำ เพื่อรับออกซิเจน ประมาณ 20 นาที ต่อครั้ง หรือมีปลาบางประเภท สามารถฝังตัวเองในโคลน ในช่วงแห้งแล้ง หรือช่วงน้ำลด เพื่อลดกระบวนการแมทาบอลิซึมของร่างกาย ที่เรียกว่า “การจำศีล” ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือน หรือบางครั้งก็เป็นปี จนกว่าฝนจะตกอีกครั้งหนึ่ง (พฤติกรรมเหล่านี้ แสดงว่าสัตว์ประเภทนี้ มีโครงสร้างที่ไม่เหมาะต่อการดำรงชีวิตบนบก-ผู้แปล)
ใน หมู่นักวิวัฒนาการนิยม บางกลุ่ม กล่าวอ้างว่า สิ่งมีชีวิตดังกล่าว ได้ถูกกำเนิด มาช้านานแล้ว ลักษณะสัณฐานนั้น เกิดจากการผสมระหว่างสิ่งมีชีวิตสองประเภท ตามการคาดการณ์ของคนกลุ่มนี้ มีสัตว์ประเภทหนึ่ง ลักษณะคล้ายปลา ลำตัวเล็ก ความพิเศษของมัน คือ  สามารถอาศัยในภาวะที่ขาดน้ำได้ มันมีชีวิตในยุคเดโวเนียน (Devonian Period) ราวๆ 300 ล้านปีมาแล้ว พวกมันสามารถเรียนรู้พฤติกรรมการเดินจากสระน้ำหนึ่งไปยังอีกสระหนึ่ง จนเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกาย  เป็นแบบกึ่งสัตว์น้ำ กึ่งสัตว์บกซึ่งต่อมากลายเป็นบรรพบุรุษของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ (amphibians) (และสัตว์สี่เท้า (and quadrupeds))นั่นเอง
                โครงสร้างและอวัยวะระหว่างสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและปลาปอด (fish lung) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของสัตว์ชนิดนี้ มีความแตกต่างอย่างมาก ดังที่ปรากฏในวารสาร 
Journal of Molecular Evolution  โดยมี C. Marshall และ H. P. Schultz ได้ ทำวิจัยในหัวข้อเรื่อง “การวิเคราะห์โครงสร้างฟอสซิลปลาซีลาคานและปลาปอด” ผลการวิจัย สร้างขัดแย้งต่อความเชื่อวิวัฒนาการของสัตว์จำพวก tetrapods.” (Marshall C. and Schultze HP. Journal of Molecular Evolution 35 (2): 93-101, 1992.) 
วารสาร the Proceedings of the Linnean Society  ออกมายอมรับ  จุดจบของต้นกำเนิดวิวัฒนาการของปลาปอด  คือ “...ปลาปอด  มีลักษณะคล้ายกับปลาทั่วๆไปที่เรารู้จัก เราเชื่อมั่นเหลือว่า จุดกำเนิดของมันเกิดจากการไม่มีอะไร (ไม่มีความพิเศษอะไรเลย-ผู้แปล) ” (Quoted in W. R. Bird, The Origin of Species Revisited [Nashville: Regency, 1991; originally published by Philosophical Library, 1987], 1:62-63)
                ในหนังสือ วิวัฒนาการ : วิกฤตการณ์ของทฤษฎีโดย Michael Denton นักชีวโมเลกุล (molecular biologist) ตอน หนึ่งท่านได้กล่าวถึงนักวิวัฒนาการนิยมได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของปลา ปอดนั้น วิวัฒนาการจากสัตว์พวกปลาและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แต่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของมันนั้น เป็นไปได้ยากมากที่สัตว์ชนิดหนึ่ง จะแสดงคุณลักษณะระหว่างสองสิ่ง” ("Evolution: A Theory in Crisis", Michael Denton, Adler and Adler: Bethesda, Maryland, 3rd ed. 1986, p. 109)
                หลัก ฐานทางฟอสซิลไม่ได้ยืนยันฉากการชวนเชื่อต่อการเกิดของปลาปอดแม้แต่น้อย แม้เวลาจะผ่านร้อยล้านปีก็ตาม ซากฟอสซิลของปลาปอดยังคงเงียบอยู่ในนิทรา
                ความ พยายามความเชื่อดังกล่าวกระจายไปนั้น จึงจำเป็นต้องสร้างฉากการ โฆษณาต่อไป ถึงแม้ว่ามันไม่สามารถรองรับด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556


กรุงเทพฯ ครองแชมป์ เมืองที่มีสถานบันเทิงค่ำคืนยอดเยี่ยม
เว็บไซต์ Agoda.com  ผู้ให้บริการจองห้องพักโรงแรมระบบออนไลน์ชื่อดังเปิดเผยผลสำรวจรายชื่อเมืองยอดนิยม10 อันดับ ที่มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดจากลูกค้า 1.13 แสนราย พบว่า เมืองใหญ่ของไทยติดอันดับท็อปเทนถึง 3 เมือง
อันดับ 1 คือ กรุงเทพมหานครครองแชมป์เมืองที่มีภาพลักษณ์ที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจจาก บรรยากาศที่คึกคัก ซึ่งเป็นที่รู้จักจากรถตุ๊กตุ๊ก วัดวาอาราม อาหารริมทาง
อันดับ 2 ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
อันดับ 3 โบราเคย์/กาติกลัน ของฟิลิปปินส์ ซึ่งมีชื่อเสียงจากหาดทรายสีขาว
อันดับ 4 เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เมืองชายทะเลที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายสำหรับวอล์กกิงสตรีตที่คึกคักและนัก ท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อปลดปล่อยอารมณ์
อันดับ 5 โตเกียว ญี่ปุ่น
อันดับ 6 จ.ภูเก็ตประเทศไทย
อันดับ 7 เขตปกครองพิเศษฮ่องกง
อันดับ 8 มาเก๊า เมืองแห่งกาสิโน
อันดับ 9 กรุงไทเป ไต้หวัน
อันดับ 10 เกาะบาหลี อินโดนีเซีย


วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

5 อาชีพเน้นๆ ของคนชอบภาษา

1. นักแปล จริงๆ หากไม่จบภาษามา ใช่ว่าจะแปลไม่ได้ แต่การที่เรียนสายตรงด้านภาษามา ทำให้ได้ประสบการณ์การแปลที่หลากหลาย ถ้า น้องๆ บอร์ดนักเขียนมาอย่างคงเข้าใจ เพราะหนังสือก็มีหลายประเภทสำนวนภาษาที่ใช้ก็ต่างกัน ในหนังสือประเภทเดียวกันอย่างนวนิยาย ยังมีสำนวนต่างกัน เพราะคนเขียนต่างกัน การเรียนสายภาษามาโดยตรงทำให้ได้สัมผัสรูปแบบสำนวนที่แตกต่างกัน เพิ่มโอกาสให้นักแปลสามารถแปลงานได้หลากหลายมากขึ้น มี นักแปลหลายคนที่แปลนิยายทั่วไปได้ แต่แปลงานเอกสารราชการไม่ได้ ดังนั้นการเรียนมาทางสายภาษาและการแปลมาจะช่วยทำงานนี้ได้ดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาเพิ่มเติมตามประสบการณ์ด้วย อย่าง ไรก็ตาม นักแปลที่เรียนมาทางสายภาษาและมีใบรับรองอย่างเป็นทางการ สามารถทำให้ทำงานกับราชการได้ และยังเป็นที่น่าเชื่อถือต่อนายจ้างด้วย

2. นักพิสูจน์อักษร อาชีพที่ใช่ภาษาเน้นๆ อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะดูเหมือนแค่มีพจนานุกรมก็น่าจะทำอาชีพนี้ได้ แต่จริงๆ ด้วยรูปแบบงายที่อาจดูน่าเบื่อแบบนี้ ยิ่งต้องใช้ความสามารถทางภาษา ประกอบกับความละเอียดถี่ถ้วนเป็นอย่างมาก พิสูจน์อักษรไม่ดีขายหน้า นายจ้างหรือสำนักพิมพ์ได้ง่ายๆ ยิ่งเป็นคนดูแลจดหมายสำคัญของหน่วยงานแล้ว ตำแหน่งนี้ยิ่งสำคัญ เพราะถือเป็นความน่าเชื่อถือของหน่วยงานด้วย แค่จดหมายยังผิดได้ แล้วจะสามารถประกอบธุรกิจใดได้ ดังนั้น อาชีพนี้จึงมักต้องการคนเรียนภาษาเน้นๆ มาเท่านั้น เพื่อให้มีความแม่นยำในการตรวจสอบจริงนั่นเอง ไม่น่าเชื่อนะเนี่ย ใครว่าแค่พกพจนานุกรมก็พิสูจน์อักษรได้กัน!!!
3. มัคคุเทศก์ จริงๆ อาชีพนี้ไม่ถึงกับต้องการคนจบสายภาษาเน้นๆ แต่อย่างใด เพราะต้องการคนที่พอฟัง พูดภาษาต่างๆ ได้ก็ทำงานนี้ได้แล้ว แต่พี่เกียรติเอาเข้ามาในกลุ่มอาชีพของชาวภาษานี้ด้วย ก็เพราะจริงๆ อาชีพนี้...อย่างไรก็ต้องใช้ภาษาน่ะสิ ดังนั้น ใครอยากเป็นมัคคุเทศก์ เรียนรู้ภาษาได้หลายภาษามากกว่า ย่อมได้เปรียบกว่าในหลายๆ เรื่อง รับทัวร์ได้หลายชาติ เป็นมัคคุเทศก์ที่ใครๆ ต้องการตัวเชียว และโอกาสที่จะได้ลงเรียนหลายๆ ภาษา ก็คือต่อในคณะสายภาษาโดยตรงนั่นเอง แต่ก็ต้องประกอบกับนิสัยที่ช่างเจรจา หน้าตายิ้มแย้ม มีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วย เพราะอาชีพนี้ต้องการคนคล่องแคล่ว ปัญหาของลูกทัวร์ต้องได้รับการแก้ไขได้ทันท่วงที


4. ล่าม อาชีพนี้ต้องการคนที่เข้าใจการฟัง และพูดภาษาต่างๆ และต้องมีความสามารถในการจับใจความ และสรุปความได้อย่างถูกต้อง ถูกความหมายด้วย เรียกว่า ต้องมีความสามารถทางภาษาจริงๆ และไม่ใช่แต่ภาษาทางการต่างๆ เท่านั้น ยังต้องติดตามการพัฒนาของภาษา ศัพท์ใหม่ ศัพท์ย่อ สำนวน-ศัพท์สแลงใหม่ๆ (สแลงนะ ไม่ใช่แสลง) ตลอดด้วย มิฉะนั้นอาจไม่สามารถแปลความได้อย่างถูกต้อง เพราะอาชีพล่ามนี้จะถือพจนานุกรมไป แปลไปพร้อมกันไม่ได้นะ ไม่น่าเชื่อถือ ดัง นั้น คนชอบภาษา มีความสามารถในการจับใจความ ชอบการสื่อสารและสรุปใจความได้ดี เหมาะกับอาชีพนี้มาก และต้องเป็นคนใจเปิดกว้าง ยุติธรรมพอควรด้วยนะ เช่น กรณีเป็นล่ามให้แก่จำเลยในศาล ต้องมีจรรยาของล่าม  ปฏิบัติหน้าที่ในขอบเขตการแปล และไม่ให้คำแนะนำ หรือแสดงความคิดเห็นแก่บุคคลที่ตนปฏิบัติหน้าที่เป็นล่ามให้ เพราะเคยมีกรณีล่ามจงใจแปลผิดความหมาย เพราะไม่ต้องการให้การสนทนานั้นๆ ประสบความสำเร็จด้วยล่ะ 

5. ครูสอนภาษา อาชีพนี้ต้องการคนเก่งภาษาจริงๆ นะ ไม่งั้นสอนผิดๆ ถูกๆ แย่เลย ใครชอบสอน ใครมีความสุขกับการได้แนะนำเพื่อนทำการบ้าน และก็รักภาษา พี่เกียรติขอแนะนำอาชีพนี้ ลูก หลานเราจะได้เก่งภาษา และรักการเรียนวิชาภาษาขึ้นมาทันใด อิ อิ ครูที่ดีมีทั้งจิตวิญญาณ และความรู้จะนำพาให้อนาคตของชาติเป็นกำลังที่ดีชาติต่อไป ถ้าอยากเป็นครูในโรงเรียน  แนะนำคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์เอกภาษาที่ชอบเลยจ้า 

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

The Names of the days

ชื่อวัน ใน 1 สัปดาห์ (The Names of the Days) 
          การ กำหนดชื่อวันในแต่ละสัปดาห์ในทุกชาติทุกภาษาจะตั้งชื่อให้เกี่ยวข้องกับ เทพเจ้าในตำนาน หรือมีความหมายตามดาวดาวทั้ง 7 แทบทั้งสิ้น สมัยแรกๆ จะให้วันเสาร์ (Saturday) เป็นวันแรกของสัปดาห์ ต่อมา ได้นับถือดวงอาทิตย์มากขึ้น จึงให้วันของดวงอาทิตย์ (Sun's day) เลื่อนอันดับ จากวันอันดับที่ 2 ของสัปดาห์ เป็นวันแรกของสัปดาห์แทน ทำให้วันเสาร์ กลายเป็นวันลำดับที่ 7 ของสัปดาห์ไปในที่สุด
วันอาทิตย์ (Sunday)
        มีชื่อมาจากภาษาละติน ว่า "dies solis" หมายถึง "วันของดวงอาทิตย์" (Sun's day) เป็นชื่อวันหยุดของคนนอกศาสนา และต่อมา ถูกเรียกว่า "Dominica" (ภาษาละติน) หมายถึง "วันของพระเจ้า" (the Day of God) ต่อมา ภาษาที่มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน เช่น ฝรั่งเศส, สเปน, อิตาเลี่ยน ก็ยังคงใช้คำที่คล้ายกับรากศัพท์ดังกล่าว เช่น

• ภาษาฝรั่งเศส: dimanche; 
• ภาษาอิตาเลี่ยน: domenica; 
• ภาษาสเปน: domingo
• ภาษาเยอรมัน: Sonntag; 
• ภาษาดัทช์: zondag ทั้งหมดมีความหมายว่า "Sun-day"
 
วันจันทร์ (Monday)
        มีชื่อมาจากคำว่า "monandaeg" หมายถึง "วันของดวงจันทร์" (The Moon's day) เป็นวันที่สองของสัปดาห์ ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อสักการะ "เทพธิดาแห่งดวงจันทร์" (The goddess of the moon)
• ภาษาฝรั่งเศส: lundi;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: lunedi; 
• ภาษาสเปน: lunes (มาจากคำว่า Luna หมายถึง "ดวงจันทร์")
• ภาษาเยอรมัน: Montag; 
• ภาษาดัทช์: maandag ทั้งหมดมีความหมายว่า "Moon-day"

วันอังคาร (Tuesday)
      เป็นชื่อเทพเจ้า Tyr ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse god Tyr) ส่วนชาวโรมัน เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้าสงคราม แห่งดาวอังคาร (the war-god Mars) ว่า "dies Martis" 
• ภาษาฝรั่งเศส: mardi; 
• ภาษาอิตาเลี่ยน: martedi; 
• ภาษาสเปน: martes
• ภาษาเยอรมัน: Diensdag; 
• ภาษาดัทช์: dinsdag; 
• ภาษาสวีเดน: tisdag
 
 วันพุธ (Wednesday)
เป็นวันที่ตั้งเป็นเกียรติสำหรับ เทพเจ้า Odin ของชาวสวีเดน และนอรเวโบราณ ส่วนชาวโรมันเรียกว่า "dies Mercurii" สำหรับใช้เรียกเทพเจ้า Mercury (ประจำดาวพุธ)
• ภาษาฝรั่งเศส: mercredi; 
• ภาษาอิตาเลี่ยน: mercoledi; 
• ภาษาสเปน: miercoles
• ภาษาเยอรมัน: Mittwoch; 
• ภาษาดัทช์: woensdag
 
วันพฤหัสบดี (Thursday)
เป็นชื่อเทพเจ้า Thor ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse god Thor) เรียกว่า "Torsdag" ส่วนชาวโรมัน เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Jove หรือ Jupiter ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งเทพทั้งปวง และเรียกวันนี้ว่า "dies Jovis" หมายถึง วันของ Jove (Jove's Day)
• ภาษาฝรั่งเศส: jeudi; 
• ภาษาอิตาเลี่ยน: giovedi; 
• ภาษาสเปน: el jueves
• ภาษาเยอรมัน: Donnerstag; 
• ภาษาดัทช์: donderdag ทั้งหมดมีความหมายว่า "วันสายฟ้า" (Thundar day)

 วันศุกร์ (Friday)
      เป็นชื่อเทพธิดา Frigg ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse goddess Frigg) ภาษาเยอรมันเคยเรียกว่า "frigedag" ส่วนชาวโรมัน เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพธิดา Venus ว่า "dies veneris" 
• ภาษาฝรั่งเศส: vendredi; 
• ภาษาอิตาเลี่ยน: venerdi; 
• ภาษาสเปน: viernes
• ภาษาเยอรมัน: Freitag; 
• ภาษาดัทช์: vrijdag
 
วันเสาร์ (Saturday)

      ชาวโรมันใช้เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Saturn ว่า "dies Saturni" หมายถึง Saturn's Day.
• ภาษาฝรั่งเศส: samedi; 
• ภาษาอิตาเลี่ยน: sabato; 
• ภาษาสเปน: el sabado
• ภาษาเยอรมัน: Samstag; 
• ภาษาดัทช์: zaterdag; 
• ภาษาสวีเดน: Lordag
• ภาษาเดนมาร์คและนอรเว: Lordag หมายถึง "วันชำระล้าง" (Washing day)

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับ การเรียนเก่ง

เคล็ดลับ การเรียนเก่ง
1.คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนครับ. 

เช่น ตื่น โมงเช้านอน ทุ่ม ซัก เดือนติดต่อกัน 
ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือครับ. 
เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม 
และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ครับ. 
ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากครับ.

2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ คะ

       เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอครับ. 
แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องครับ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว 
ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ.

3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรครับ.

       อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ ชม. แต่แบ่ง เป็น ยกครับ. ครั้งละ 25 - 30 นาที 
และพัก 5- 10 นาที

4. อ่านจบวันนึง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะครับ. 


      สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร

5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ครับ.

          ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดี
ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ครับ.

6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาครับ.

        เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 
เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ ครับ. 
เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง 
เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า 
where do you go .? อะไรเป็นต้น 
แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ 
ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที 
ก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ

7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ

อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วครับ. 
ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลครับ. 
แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ 
ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยครับ. 
จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน 
จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา 
อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด . 
สำคัญคือความตั้งใจนะครับ. 
ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว 
ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด 
สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง 
ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้ 
โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า 
ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า 
บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น 
มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด 
เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา 
ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วครับ. 
ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน บทต่อ แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท 
เช่น สถิติ อาจใช้ถึง แผ่น หรือตรีโกณ แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกครับ. 
จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยครับ

8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่

         คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงครับ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ 
ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา 
เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ 
เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ 
ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร 
ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับ. 
ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว 
ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง 
โดยทำดังต่อไปนี้ค๊ะ
        - ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก เดือนหรือ อาทิตย์
นึกนะครับ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ 
จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก เดือนต่อครั้ง 
จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
ให้เลิกครับ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที 
กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ อาทิตยืจนเลิกนึกนี่ 
คาดว่าไม่ตำกว่า เดือนนะครับ. 
ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์

9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อยๆ คือกระบวนการสอบแข่งขันครับ.

 ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ 
ม.จนจบ ม.เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง 
เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ครับ. เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม 
ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม 
เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า 
ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน 
เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ 
ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ 
สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่ 
พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น 
แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก 
อ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ. 
ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.จะอ่านของ ม.ก็ได้นะไม่ผิด

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555


ประเทศอังกฤษเป็นประเทศหนึ่งที่ได้ชื่อว่า เป็นศูนย์กลางของการศึกษา และเรียนรู้ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยมีห้องสมุดสำคัญคือ หอสมุดแห่งชาติ (The British Library) เป็นอาคารสาธารณะกลางที่ใหญ่ที่สุดในกรุงลอนดอน ซึ่งเพิ่งมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ.2540 มีจุดที่เด่นภายในอาคารหอสมุดแห่งนี้ คือ The King’s Library ซึ่งก่อสร้างเป็นหอกระจกงดงามสูงขนาดตึก 6 ชั้น ตั้งอยู่ใจกลางอาคาร โดยเป็นที่รวบรวมหนังสือส่วนพระองค์ของพระเจ้าจอร์จที่ 3 หอสมุดแห่งชาตินี้มีร้านหนังสือที่ขายหนังสือ CD สมุดบันทึกสำหรับนักอ่าน (Reader’s diary) และในบรรดาโครงการหลากหลายที่น่าสนใจ คือโครงการ Turning the Pages - Treasures of The British Library ซึ่งคัดเลือกหนังสือเก่าแก่ที่เป็นมรดกล้ำค่าชิ้นสำคัญของมนุษยชาติ มานำเสนอในลักษณะ e-book เช่น สมุดบันทึกและสเก็ตช์ภาพของ ลีโอนาร์โด ดาวินชีี, Magna Carta เอกสารทางกฎหมายที่เก่าแก่ของประเทศอังกฤษ เป็นต้น
(สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก www.bl.uk)

- ห้องสมุดอีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ชานกรุงลอนดอนซึ่งเป็นห้องสมุดที่บริหาร จัดการโดยท้องถิ่น คือ Idea Store หรือ Library Learning Information ซึ่งก่อสร้างเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2547 การออกแบบมีสีสันบรรยากาศทันสมัย ผสมผสานการเรียนรู้ตลอดชีวิตคู่กับกิจกรรมวัฒนธรรม รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่น่าสนใจ เช่น กิจกรรม Breakfast Club

- ประเทศอังกฤษยังมีกิจกรรมเพื่อรณรงค์และส่งเสริมการอ่านระดับชาติที่น่าสนใจ เช่น โครงการ Premier League Reading Stars ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่าง the National Literacy Trust สโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ ลีค และสมาคมฟุตบอล ตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 โดยแต่ละสโมสรคัดเลือกดาราฟุตบอลพรีเมียร์ลีกปีละ 1 คน เช่น ในปี พ.ศ.2548 John Terry จากสโมสรเชลซี แนะนำหนังสือ เรื่อง Cool! ของ Michael Morpurgo สโมสรแมนแชสเตอร์ยูไนเต็ดเลือก Ryan Giggs ซึ่งแนะนำหนังสือเรื่อง A Long Walk to Freedom ของ เนลสัน แมนเดลา สโมสรลิเวอร์พูล เลือก Chris Kirkland ซึ่งแนะนำหนังสือเรื่อง There's a Viking in My Bed ของ Jeremy Strong สโมสรอาร์เซนัล เลือก Freddie Ljungberg ซึ่งแนะนำหนังสือเรื่อง Cars, Trucks & Things That Go ของ Richard Scarry เป็นต้น Reading Stars เหล่านี้เป็นพรีเซนเตอร์เพื่อรณรงค์การส่งเสริมการอ่านแก่เยาวชน และ บางครั้งอ่านหนังสือให้เด็กฟังในห้องสมุดที่เข้าร่วมโครงการ ฯลฯ

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องราวของแวมไพร์ หรือผีดูดเลือด

 เรื่องราวของแวมไพร์ หรือผีดูดเลือด เป็นเรื่องราวที่มีการบอกเล่าต่อกันมานานหลายร้อยปี และปรากฏอยู่ในตำนานของหลายประเทศทั่วโลก มีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น แวมไพร์ตามตำนานเม็กซิโกจะมีกระโหลกมนุษย์วางอยู่บนศีรษะ แวมไพร์แถบเทือกเขาร็อกกี้จะดูดเลือดทางจมูก แวมไพร์ตามตำนานโรมาเนียจะมีร่างกายผอมซีดและไว้เล็บยาว เป็นต้น แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น แวมไพร์ทั่วโลกก็มีวิถีชีวิต รูปแบบการดูดเลือด และการสืบทายาทแวมไพร์ที่ไม่ต่างอะไรกันเลย ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

          1. แวมไพร์เป็นผีดิบในร่างของมนุษย์ มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงให้มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย 

          2. แวมไพร์ถูกนำมาเปรียบเทียบเป็นมนุษย์ค้างคาวผีดิบ เนื่องจากแวมไพร์หากินกลางคืนต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงแวมไพร์ ก็มักจะนึกถึงผีดิบผิวซีดในชุดสีดำคล้ายค้างคาว

          3. ในตอนกลางวันแวมไพร์จะนอนนิ่งอยู่ในโลงศพ ในสภาพที่ตาข้างหนึ่งเปิดอยู่ มีเลือดติดอยู่ตามปากหรือจมูก 

          4. ในตอนกลางคืนแวมไพร์จะออกหาเหยื่อ เพื่อดูดเลือดบริเวณคอของเหยื่อ โดยเหยื่อมักจะเป็นเพศตรงข้ามเสมอ

          5. แวมไพร์ ถ่ายทอดเชื้อสายด้วยการกัด แต่ผู้ที่ถูกกัดทุกคนอาจเสียชีวิตและไม่ได้ถูกปลุกขึ้นมาเป็นแวมไพร์ตัวใหม่ก็ได้ 

          6. ศพของแวมไพร์จะไม่เน่าเปื่อย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ใบหน้าจะยังดูมีเลือดไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา เพราะได้เลือดของเหยื่อหล่อเลี้ยงไว้

          7. แวมไพร์ สามารถสยบได้ด้วยกระเทียม ซึ่งเป็นพืชที่มีกลิ่นฉุนมาก หรือไม้กางเขน และน้ำมนต์


          ในแถบประเทศตะวันตก แวมไพร์ เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในประเทศอังกฤษ หลังจากมีการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่า อาร์โนลด์ เปาเล ชาวเซอร์เบีย เป็นผู้ที่ได้รับการสืบเชื้อสายจากแวมไพร์ หลังจากที่เขากลับมาจากการปฏิบัติหน้าที่ทางการทหารในกรีซ และเขาก็ได้สารภาพกับภรรยาว่าถูกแวมไพร์ดูดเลือดและได้รับการถ่ายทอดเป็นแวมไพร์ ต่อมาไม่นานเขาได้เสียชีวิตลง แต่คนในหมู่บ้านยังเห็นเขาวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านในยามค่ำคืน จึงมีการขุดเอาศพเขาขึ้นมาดูอีกครั้ง และพบว่า เขานอนนิ่งเป็นศพแต่กลับมีรอยเลือดติดอยู่ที่ปากของเขา ชาวบ้านจึงพิสูจน์ด้วยการตอกหมุดลงไปที่หัวใจ ปรากฎว่ามีเลือดไหลทะลักออกมาตามด้วยเสียงกรีดร้อง จากนั้นศพของเขาก็ถูกนำไปเผาและก็ไม่มีใครพบเขาปรากฎตัวในหมู่บ้านอีกเลยหลังจากนั้น แต่ต่อมาไม่นาน ก็พบแวมไพร์อีกหลายตัวอยู่ในหมู่บ้าน จึงเชื่อว่าแวมไพร์เหล่านั้นเป็นเชื้อสายของเปาเล และพวกเขาก็คงถูกเปาเลกัด ซึ่งพ้องกับสิ่งที่เปาเลได้เคยบอกภรรยาไว้ก่อนตาย

           หลังจากนั้นก็มีเรื่องเล่า และตำนานแวมไพร์ถูกเล่าขานกันต่อมาเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นเรื่องราวที่โด่งดังอีกครั้ง เมื่อ บราม สโตกเกอร์ นักเขียนชาวไอริชได้แต่งนิยายเรื่อง แดร็กคิวล่า ขึ้นมา โดยนำข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเจ้าชายนักรบแห่งวาลาเซีย ประเทศโรมาเนีย นามว่า วล้าด เทเปส หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วล้าด แดร็กคูล  ที่แปลว่ามังกรวล้าดสุดผยอง มาเขียนเป็นนิยาย ซึ่งเจ้าชายแห่งวาลาเซียคนนี้ เป็นที่เลื่องลือมากในเรื่องของความเก่งกล้า และเหี้ยมโหดต่อศัตรูผู้รุกรานอย่างมาก เขามักจะสั่งให้ทหารนำศพศัตรูมาเสียบให้เลือดไหลทะลักออกมา ขณะที่เขาก็มีความสุขไปกับการเห็นภาพสุดสยองตรงหน้าแล้วมองดูมันด้วยความสะใจ และมักจะนั่งทานอาหารโดยมีศพนับสิบเสียบเลือดนองอยู่ตรงหน้าเสมอจากความโหดเหี้ยมดังกล่าว บราม สโตกเกอร์ เลยนำเรื่องราวของ วล้าด แดร็กคูล มาเชื่อมโยงกับตำนานแวมไพร์ เนื่องจากเห็นว่า วล้าด แดร็กคูล มีคุณสมบัติและอุปนิสัยหลายอย่างที่พ้องกับแวมไพร์เป็นอย่างมาก จึงเสกสรรปั้นแต่งให้ วล้าด แดร็กคูล หรือที่เรียกในนิยายว่า แดร็กคิวล่า กลายเป็นผีดูดเลือดไป และต่อมาผู้คนก็เข้าใจว่าเรื่องราวที่ บราม สโตกเกอร์ เขียนนั้นอ้างอิงมาจากเรื่องจริงทุกประการ แดร็กคิวล่า จึงได้รับความสนใจและกลายเป็นเรื่องราวของแวมไพร์ที่โด่งดังมากที่สุดมาจนปัจจุบันนี้ และนิยายดังกล่าวก็ส่งผลให้โบสถ์ออร์โธดอกซ์ ที่วล้าด แดร็กคูล เคยสร้างไว้และใช้เป็นที่ฝังศพของตัวเอง กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในโรมาเนีย เพราะผู้คนมักจะเชื่อตามเรื่องราวในนิยายว่า นั่นคือปราสาทที่อยู่ของแดร็กคิวล่า และเป็นสุสานผีดูดเลือดจริง ๆ อีกทั้งเชื่อว่า วล้าด แดร็กคูล เป็นผีดูดเลือดจริง ๆ อีกด้วย



แวมไพร์


           ส่วนในโลกของความเป็นจริงนั้น เรื่องราวของแวมไพร์ก็ดูเหมือนจะปรากฏให้เห็นจริงในหลายสังคมตะวันตก โดยมีการเล่าขานกันอย่างไม่สร่างซาว่า มีคนที่ดูดเลือดคนด้วยกันเองอยู่หลายคน และพวกเขาก็คือแวมไพร์อย่างแท้จริง ขณะที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ได้มีการอธิบายว่า แวมไพร์ในโลกของความเป็นจริงนั้น อาจไม่ใช่ "ผี" อย่างที่ปรากฎในเรื่องเล่า แต่เป็นคนธรรมดาที่ป่วยเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง ที่ผู้ป่วยจะชื่นชอบการดูดเลือดคนด้วยกันเอง โดยมีปมมาจากการจมอยู่ในความแค้นในอดีตก็เป็นได้ 

          
 อย่างไรก็ดี แม้จะมีคำบอกเล่า และการสันนิษฐานหลายอย่าง แต่ตำนานแวมไพร์ก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้คนเชื่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ และก็เป็นที่น่าสังเกตว่า เรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์หรือผีดูดเลือด ก็ยังเป็นที่สนใจของผู้คนไม่หาย มันยังคงถูกนำมาสร้างเป็นนิยาย ภาพยนตร์ และละครอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ และน่าแปลกที่เรื่องราวของผีดิบมักจะน่าติดตาม และมีความน่าสนใจในเรื่องราวของมันเองไม่ว่าจะสมัยไหน ก็เรียกว่าเรื่องราวของแวมไพร์ได้กลายเป็น "ตำนานผีดิบ" ที่ฆ่าไม่ตายไปแล้ว