welcome to my blog ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกค้ะ

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ เรียนยังไงให้ได้เกรดเพิ่ม?


การจะเพิ่มเกรดเฉลี่ยจริงๆแล้วไม่ใช่ เรื่องที่ยากเย็นเกินไปนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยซะทีเดียว เพราะน้องๆต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างออกไป ซึ่งพฤติกรรมเหล่านั้นน้องๆหลายคนติดจนเป็นนิสัยไปเสียแล้ว แต่ไม่มีอะไรยากเกินไปแน่นอน ถ้าเราตั้งใจทำจริง เอาหละครับที่นี้เรามาเข้าเรื่องกันเลยกว่า พี่มี 5 ข้อสำหรับน้องที่ต้องพยายามปฎิบัติให้ได้นะครับ ถ้าทำได้ตามนี้ รับรองเกรดพุ่งแน่ๆครับ

1. ข้อนี้ง่ายๆครับไม่ยาก นั้งแถวแรกของห้องเรียน น้องๆ ส่วนใหญ่ 80% ที่เกรดไม่ดีจะนั่งหลังห้อง บางครั้งอาจารย์พูดสอนอะไรอาจจะได้ยินไม่ชัดเจน หรือบางครั้งถ้าเราไม่รู้จักควบคุมตัวเองก็จะไขว่เขวได้ง่าย เพราะฉนั้นมานั้งหน้าห้องซะดีๆ

2. เอาหนังสือมาเรียนด้วยทุกครั้ง (ย้ำว่าต้องเป็นของตัวเองนะครับ) พอเราปรับพื้นที่มานั่งโซนหน้าห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่นี่ได้ยินได้เห็นสิ่งที่อาจารย์สอนชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ก็จดสิ่งที่เป็นประโยชน์ลงไปในหนังสือทุกครั้ง จะได้เก็บเอาไปทบทวนที่บ้านได้ด้วย

3. ทำการบ้านเองทุกครั้ง เมื่อมีสมาธิกับการเรียนแล้ว พี่คิดว่าเราคงพอจะทำการบ้านเองได้บ้าง ถ้าวิชาไหนไม่ไหวจริงๆก็ถามเพื่อน คิดว่าน่าจะช่วยให้ผลการเรียนดีขึ้นมาในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว

4. บททวนบทเรียน เราตั้งใจเรียน ทำการบ้านเอง ทบทวงอีกเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วครับ

5. เลือกคบเพื่อน เพื่อนที่เราคบอยู่มีส่วนมากๆเลยนะครับที่จะช่วยทำให้ผลการเรียนดีขึ้น (ไม่ได้ให้ไปเลิกคบเพื่อนที่คบอยู่นะครับ) แค่ออกห่างมานิดหน่อยแล้วเปิดใจคบเพื่อนกลุ่มใหม่บ้าง เลือกคบเพื่อนที่ดูแล้วเขาสามารถช่วยเหลือเรื่องการเรียนเราได้บ้าง มีอะไรจะได้ปรึกษาหารือกัน

ถ้าทำทั้ง 5 ข้อนี้ได้รับรองเกรดเพิ่ม แน่ ๆ ทุกข้อที่กล่าวมาไม่ได้อยากเลยนะครับ ตั้งใจ ใส่ความพยายามลงไปสักนิด คิดว่ายังไงก็ต้องสำเร็จครับ สู้ๆๆๆ

ปลาได้ยินเสียงไหม


เคยไหมที่เวลาเราให้อาหารหรือเปลี่ยนน้ำให้กับปลา ก็อดที่จะพูดคุยกับปลาไม่ได้เพราะการคุยกับสัตว์เลี้ยงนั้นเป็นการสื่อสาร ถึงความรักที่คุณมีให้แก่เขาแต่กับปลาล่ะ เวลาที่เราพูดด้วยนั้นเขาจะได้ยิน และเข้าใจที่เราพูดด้วยหรือเปล่าถ้าบอกว่าปลาสามารถได้ยินเสียง ก็คงมีคนถามต่ออีกว่า แล้วไหนล่ะหูของปลา

เนื่องจากปลาไม่มีหูส่วนนอกหรือใบหูให้เห็น แต่ จริงๆ แล้วปลานั้นได้ยินเสียงจากภายนอก โดยใช้เส้นข้างลำตัวมาทำหน้าที่ในการรับเสียง จากนั้นก็ส่งสัญญาณต่อไปสู่หูชั้นในซึ่งมีหน้าที่รับเสียง และส่งสัญญาณต่อไปยังสมองในการรับรู้และยังเป็นการรักษาสมดุลในการทรงตัว เช่นเดียวกับมนุษย์

ทว่าความเข้าใจนั้น ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องบอกว่าปลาไม่มีวันเข้าใจภาษาใดๆ ในโลกหรือแม้แต่ภาษาของปลาด้วยกันเอง เพราะปลานั้นมีสมองเล็กมากประมาณเมล็ดถั่วเขียว และมีความจำที่สั้นมากๆ เหมือนที่เราเรียกคนมีความจำสั้นว่า สมองปลาทอง ดังนั้น ปลาจึงดำรงชีพอยู่ด้วยความรู้สึก

เต้น เต้น เต้น

ยิ้มสวย ๆ


พลอยไพลิน กะ พิมพลอย

พี่ ม.6 สวยมาก ชอบ บบ...



สมาชิกเต้น


กรองทอง พลอยไพลิน สุรภา ยิ้มๆ :))

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทำไมปลาท่องโก๋จึงคู่กัน

สมัยราชศ์ซ่ง ชนชาติจีนซึ่งอยู่ทางเหนือรุกรานลงใต้ยึดแผ่นดินของราชวงศ์ซ่งไปครองได้ถึงกึ่งหนึ่งมีแม่ทัพของราชวงศ์ซ่งคนหนึ่งเย่เฟย (งักฮุย)นำกองทัพปออกต่อต้านทัพชนชาติจีนอย่างสุดความสามารถสามารถตีทัพจีน ให้พ่ายแพ้ไปครั้งแลัวครั้งเล่าทหารจีนพอเห็นธงประทัพของงักฮุยซึ่งมีตัวอักษรว่า''งักฮักผู้จงรัก'' เท่านั้น ก็ตกใจจนขวัญบินต่างพากันแตกนี้กระเจิงไม่กล้าเข้ารบด้วยแต่ราชวงศ์ซ่ง มีฮ่องเต้โฉดเขลาเบาปัญญาอยู่องค์หนึ่งพระนามว่าพระเจ้าซ่งเกาจงฮ่องเต้ พระองค์ต้องประสงค์แต่เพียงให้สามารถครองราชบังลังค์อยู่ได้ตลอดไปเท่านั้นแม้จะต้องสูญเสียดินแดนไปเรื่อยๆ พระองค์ก็ไม่สนพระทัย ซ้ำยังทรงฟังคำเพ็ดทูลของฉินฮุ่ยคนขายชาติส่งป้ายทองไปเรียกเย่เฟยกลับจากแนวหน้าถึง12ครั้ง และในที่สุดเย่เฟยก็ถูกฉินฮุ่ยประหารชีวิตด้วยความผิดที่ ''ไม่จำต้องมี''!ประชาชนรับฟังข่าวนี้ด้วยความเดือดแค้น ต่างร้องไห้อาลัยรักเย่เฟยกันทั่วหน้า เพื่อถ่ายทอดแสดงออกซึ่งความโกรธแค้น พวกเขานำแป้งสาลีมาปั้นเป็นรูปของฉินฮุ่ยกับภรรยาแล้วติดกันเป็นคู่ นำไปทอดในกะทะน้ำมันเพื่อแก้แค้นแทนเย่เฟยเรียกว่า "อิ๋วจ้าฮุ่ย" หรือ "ฉินฮุ่ยทอดน้ำมัน"(เมืองไทยสมัยก่อนเรียกว่า "อิ้วจาก้วยต่อมาเพี้ยนเป็น "ปาท่องโก๋" แต่ทางใต้ยังเรียก "จาก้วย" อยู่)ในปัจจุบัน ที่ข้างสะพานซีหลิ่งริมทะเลสาบซีหูในเมืองหังโจวมีสุสานของเย่เฟยอยู่ ผู้ที่ไปทัศนาทะเลสาบซีหู จะต้องพากันไปเยือนเพื่อเคารพวีรชนเย่เฟยท่านนี้ทั่วกันทุกส่วนรูปหุ่นเหล็กหล่อของฉินฮุ่ยสามีภรรยาซึ่งคงเข่าอยู่หน้าหลุ่มศพของเยเฟ่ยกลับถูกเตะถีบถ่มน้ำลายจากผู้ไปเยือนไม่เว้นแต่ละวัน แม้รูปหล่อนี้จะชำรุดและซ่อมแซมเป็นหลายครั้งก็ตามก็ยังถูกผู้คนทั้งหลายที่ชิงชังในพฤติกรรมของฉินฮุ่ยถีบกระทืบและถ่มน้ำลายรดอยู่ไม่ขาดฉินฮุ่ยผู้รักตัวกลัวตาย เมื่อตอนที่มีอำนาจอยู่ได้กระทำแต่เรื่องเลวๆ อย่างหึกเหิม กล้าแม้กระทั่งขายชาติหาศีลธรรมอะไรไม่ได้เลย เขาจึงได้รับแต่การด่าทอสาปแช่งชื่อเสียงเหม็นคลุ้งไปทั่วฟ้าดิน ตราบเท่าทุกวันนี้ส่วนเย่เฟย แม้จะถูกกล่าวหาต่างๆนานา และต้องตายในเงื้อมมือของคนเลวแต่นามอันทรงเกียรติของเขาได้จารึกอยู่ในใจของประชาชนจีนอยู่เป็นนิรันดร์ และขจรขจายไปชั่วฟ้าดินสลายเพราะฉะนั้น ผู้ดำรงคงไว้ซึ่งศิลธรรมจะเหงาเศร้าก็แต่ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น ส่วนผู้ถืออำนาจบาตรใหญ่แต่ประพฤติชั่ว กลับจะโศกสลดรันทดใจไปชั่วกัปชั่วกัลป์

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สะกดจิต...อำนาจลี้ลับ


การสะกดจิตเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนเป็นจำนวนมาก บางคนเห็นเป็นเรื่องลึกลับดำมืดที่มีเสน่ห์ บางคนเห็นเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่มีคุณค่าและมีประสิทธิภาพ แต่พวกเราส่วนใหญ่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าการสะกดจิตคืออะไร และมีไว้เพื่ออะไรกันแน่ทำให้เกิดจินตนาการและความเชื่อที่เกินเลยขอบเขตของ วิทยาศาสตร์

ผู้รู้จะใช้การสะกดจิตเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสติ สัมปชัญญะหรือการรับรู้ของคน โดยทำให้การรับรู้ต่อสิ่งที่อยู่แวดล้อมเปลี่ยนไป อาจจะรับรู้น้อยลงหรือว่ารับรู้เป็นอย่างอื่น ตามการโน้มน้าวชักจูงให้คิดหรือรู้สึกไปแบบนั้น ส่วนใหญ่ผู้สะกดจิตจะทำให้ผู้รับการสะกดจิตเข้าสู่ภวังค์ (trance) โดยการใช้คำพูดหรือให้มองอะไรบางอย่างที่เป็นลักษณะซ้ำๆ ในการพูดก็จะใช้เสียงที่เป็นโทนเดียว (monotonous) ผลที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่การหลับ แต่เป็นการเปลี่ยนสภาวะการรับรู้ของคนคนนั้น ให้เลิกรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวในขณะนั้น และไปรับรู้อีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นกระบวนการที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง

แต่หลายคนก็ยังเชื่อว่าการสะกดจิตนั้นเป็นเรื่องของอำนาจลี้ลับ และผู้ที่จะสะกดจิตคนอื่นได้ต้องมีอำนาจพิเศษเหนือคนอื่น

จิตแพทย์ได้ใช้การสะกดจิตในการรักษาผู้ป่วยทางจิตเวชมาตั้งแต่สมัย ซิกมันด์ ฟรอยด์ แล้วนะครับ ยังมีการใช้อยู่บ้างในระยะหลังแต่ไม่เป็นที่แพร่หลายนัก เพราะต้องมีเงื่อนไขหลายประการ เช่น คนไข้ที่เหมาะสมจะต้องอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยโรคประสาท การเข้าไปทำให้คนคนนั้นมีสติสัมปชัญญะหรือการรับรู้ที่เปลี่ยนไปอาจทำให้ เกิดอาการข้างเคียง คือความสามารถในด้านอื่นๆ ลดลง เป็นต้น

มักมีความเชื่อผิดๆ ด้วยว่า การสะกดจิตจะทำให้คนไข้หายจากโรคโดยไม่ต้องออกแรง หายเอง หรือ สามารถเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างจากคนเดิมไปสู่คนใหม่ได้ นี่คือสิ่งที่ทำไม่ได้ด้วยวิธีการสะกดจิต แต่อาจต้องใช้วิธีการของจิตบำบัด ซึ่งต้องใช้เวลาและจะเกิดผลที่ยั่งยืนกว่าการสะกดจิต ซึ่งมักได้ผลเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาสั้นๆหรือเฉพาะหน้าเท่านั้น

วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ของวิเศษ หากใช้โดยขาดสติ

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทำไมจึงวันฉลองคริสต์มาสวันที่ 25 ธันวาคม Christmas

ทำไมจึงวันฉลองคริสต์มาสวันที่ 25 ธันวาคม Christmas

ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ (ลก.2:1-3) บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าบังเกิดในสมัยที่ จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีคีรินิอัส เป็นเจ้าครองเมืองซีเรีย ซึ่งในพระคัมภีร์ ไม่ได้บอกว่า เป็นวันหรือเดือนอะไร แต่นักประวัติศาสตร์ให้เหตุผลว่า ทื่คริสตชนเลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาส ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา เนื่องจาก ในปี ค.ศ. 274 จักรพรรดิเอาเรเลียน ได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพผู้ทรงพลัง ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่า และถือเสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ คริสตชนที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รู้สึกอึดอัดใจ ที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ ตามประเพณีของชาวโรมัน จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 330 จึงเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ และอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนนั้น มีการเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 64-313) ทำให้คริสตชน ไม่มีโอกาสฉลองอะไรอย่างเปิดเผย

ความสำคัญของวันคริสต์มาส Christmas

คริสต์มาส เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่ง ในศาสนาคริสต์ มิใช่เป็นวันสำคัญฝ่ายร่างกาย จัดงานรื่นเริงภายนอกเท่านั้น ซึ่งเป็นแต่เพียงเปลือกนอก ของการฉลองคริสต์มาส แต่แก่นแท้อยู่ที่ความรักของพระเจ้าที่ มีต่อโลกมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงรักมนุษย์มากจน ถึงกับยอมส่งพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ มีเนื้อหนังมังสา ชื่อว่า "เยซู" การที่พระเจ้าได้ถ่อมองค์และเกียรติ ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น จากการเป็นทาสของความชั่ว และบาปต่างๆ นั่นเอง ดังนั้น ความสำคัญของวันคริสต์มาส จึงอยู่ที่การฉลองความรัก ที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์ อย่างเป็นจริงเป็นจัง และเห็นตัวตนในพระเยซูคริสต์ ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น

ประวัติวันคริสต์มาส Christmas

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า
เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม
คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณีสำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสารโบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ส่วนภาษาไทยใช้อวยพรด้วยประโยคว่า

"สุขสันต์วันคริสต์มาส"
Merry Christmas

การร้องเพลงคริสต์มาส Christmas

เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนั้น มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ
เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles
ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่
เพลง Silent Night, Holy Night
ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวันเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจ จะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จ ก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

ต้นคริสต์มาส Christmas

ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุดในประเทศเหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก
แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น

ซานตาคลอส

ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้

การทำถ้ำพระกุมาร

ตามความในพระคัมภีร์ พระเยซูเจ้าเกิดในรางหญ้า (ลก.2:7) ซึ่งเราไม่แน่ใจว่า อยู่ตรงไหน แต่เนื่องจากในแถบเบธเลเฮม มีถ้ำอยู่มากมาย ที่พวกดูแลฝูงแกะ ใช้เป็นที่พักของสัตว์และตัวเอง เป็นความคิดของชาวคริสต์ธรรมดาว่า รางหญ้าที่พระวรสารอ้างถึงนั้น คงอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งในเบธเลเฮม ประเพณีการทำถ้ำนั้น มาจากอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี เป็นผู้ริเริ่มโดยในวันคริสต์มาส ปี ค.ศ. 1233 นักบุญฟรังซิส ชวนให้ชาวบ้านทุกคน ในหมู่บ้านที่ท่านอยู่ ร่วมแสดงละคร มีการเตรียมถ้ำพระกุมาร และใช้สัตว์จริงๆ เช่น วัวและลา อยู่ในถ้ำด้วย (การที่ใช้วัวและลา เพราะเป็นสัตว์ที่ชาวบ้านใช้เป็นประจำ) จากนั้นก็จุดเทียนมายืนรอบๆ ถ้ำที่ทำขึ้น ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า จนถึงสว่าง และฟังมิสซาด้วยกัน ตั้งแต่นั้นมา ประเพณีทำถ้ำพระกุมาร ทั้งในวัดและในบ้าน ก็แพร่หลายไปทั่วทุกหนแห่ง

Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณแปลว่า"สันติสุขและความสงบทางใจ" คำ นี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาล คริสต์มาส ชาวไทยฉลอง"เฉลิมพระชนม์พรรษา" วันที่ 5 ธันวาคมเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระมหากษัตริย์ ทุกปีชาวโรมันมีการระลึกถึงการสมภพของพระเจ้าจักรพรรดิ คนท้องถิ่นอื่นก็ระลึกถึง และเฉลิมฉลองวันเกิดของกษัตริย์หรือผู้ปกครองบ้านเมืองของตนด้วยความยินดี แม้แต่ชาวยิวในสมัยของ พระเยซูเอง ก็ฉลองการเกิดของกษัตริย์ เฮรอด เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่ชาวคริสต์ สมัยโบราณถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึก ถึงการบังเกิดของพระเยซูที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณี นี้ ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษ ที่ 4 และ ค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

เรา จะเห็นได้ว่าวันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่พระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า ที่จะอยู่กับเราตลอดไปเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ เป็นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้า พระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ ตามคำ สัญญาของพระเจ้าที่จะดูแลป้องกันรักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์ เราเป็นเหมือนลูกแกะที่หายไป แต่พระเยซูเป็นชุมพาบาลใจดี ที่ ตามหาเราจนพบ และจะไม่มีอะไรที่จะแยกเรากับพระองค์ได้อีกเลย มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนจะรวยหรือจน คนศรัทธาหรือ คนบาป ล้วนมีความสำคัญต่อหน้าพระเจ้าเสมอ เพราะตั้งแต่การเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูนั้น พระเป็นเจ้าพระบิดา ทรงเห็นพระฉายา ลักษณ์ของพระบุตรในมนุษย์ทุกคน เราก็เช่นเดียวกัน เราต้องรักซึ่งกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักพระเจ้า มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคนเหล่านั้น จะเป็นคนยากจน คนต่างชาติ หรือคนที่วางตัวเป็นศัตรูกับเรา"เขาจะรักพระเจ้าที่เขามองไม่เห็นได้อย่างไร ถ้าเขาไม่รักพี่น้องที่มองเห็นได้" นี่แหละเป็นพระดำรัสที่พระเยซูประทานแก่เรา คนที่รักพระเจ้าต้องรักพี่น้องของตนด้วย

การทำมิสซาเที่ยงคืน เมื่อ พระสันตะปาปาจูลีอัสที่1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) แล้วในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม ยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็น เวลาเที่ยงคืน พระสัน ตะปาปาก็ทรงถวายบูชา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อ สัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระ สันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติ ของพระองค์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมี ธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาสเช่นเดียวกัน

บรั่นดี (brandy) คืออะไร


"บรั่นดี (brandy)" นั้น มาจากคำว่า "brandewijn" ซึ่งเป็นภาษาดัตช์ (Dutch)แปลว่า "burnt wine" ซึ่งหมายถึงการให้ความร้อนแก่เหล้าองุ่นเพื่อกลั่น ดังนั้นบรั่นดีจึงเป็นสุราชนิดแรงที่กลั่นจากเหล้าองุ่น แต่ถ้าเป็นชนิดที่กลั่นจากน้ำผลไม้อื่นๆหลังจากการหมักแล้วก็เรียกว่า บรั่นดีผลไม้ (fruit brandy) เช่น apple brandyทำจากแอปเปิ้ล peach brandy ทำจากพีช เป็นต้น

คุณภาพของบรั่นดีขึ้นอยู่กับ คุณภาพของเหล้าองุ่นที่นำมากลั่น, กรรมวิธีที่ใช้ในการกลั่น, และที่สำคัญที่สุดก็คือการเลือกชนิดไม้ที่ใช้ทำถังเพื่อเก็บบ่มบรั่นดีหลัง จากกลั่นแล้ว ซึ่งการเก็บบ่มสุราไว้ในถังไม้ที่เหมาะสมเป็นเวลานานปี จะเป็นการทำลายสารพิษต่างๆ เช่น fusel oils ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกรรมวิธีการผลิตและเจือปนอยู่ในสุราให้หมดไปอีกด้วย

บรั่นดีที่นิยมกันว่าเป็นชนิดที่ดีที่สุด คือ บรั่นดีที่ผลิตจากเมืองคอนยัก(Cognac) และเมืองอาร์มายัก (Armagnac) ประเทศฝรั่งเศส และเรียกชื่อบรั่นดีนี้ตามชื่อเมือง บรั่นดีทั้ง 2 ชนิดนี้ผู้ผลิตจะเก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊กเป็นเวลาหลายๆ ปี ส่งผลให้สารแทนนินส์ (tannins) ที่มีอยู่ในเนื้อไม้ ละลายลงไปในบรั่นดีทำให้มีสีเหลืองอำพัน และทำให้มีกลิ่นหอม สำหรับบรั่นดีที่มีคุณภาพต่ำนั้น ผู้ผลิตจะเติมสารคาโรเมล (caromel) ลงไปเพื่อทำให้บรั่นดีมีสีเหลือง และเติมวานิลลา (vanilla) ลงไปเพื่อปรุงกลิ่นสำหรับบรั่นดีที่เก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก ซึ่งฉาบผิวด้วยขี้ผึ้งพาราฟิน (paraffin) หรือเก็บบ่มไว้ในภาชนะดินเผาจะมีลักษณะใสไม่มีสี

บรั่นดีและสุราชนิดอื่นๆ เมื่อบรรจุขวดแล้วไม่ว่าจะเก็บไว้นานสักเท่าใด ก็ไม่มีผลทำให้คุณภาพดีขึ้นไปกว่าก่อนบรรจุขวด

9 อาหารที่อาจช่วยในเรื่องความจำ


นแต่ละวันของชีวิตการทำงาน หลายๆ คนคงใช้สมองในการทำงานหนัก วันนี้มีอาหารที่ช่วยในเรื่องของความจำมาแนะนำให้ได้อ่านกันครับ

1.น้ำสลัดที่มันมีลักษณะเหมือนน้ำมัน
เพราะ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพ โดยอุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งจะช่วยปกป้องเซลล์ประสาท และปกป้องในส่วนของเซลล์ประสาทที่เริ่มจะตาย รวมทั้งโรคอัลไซเมอร์

2.ปลา
บรรดาปลาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แซลมอน,ทูน่า,ปลาทู และ ปลาอื่น ๆ ถือว่ามันอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และมี DHA ซึ่ง DHA จะเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการทำงานปกติของเซลล์ประสาท และจะทำให้เส้นเลือดไม่อุดตันอีกด้วย

3.ผักใบเขียว
ผักคะน้าผัก,ผักขม, และบร็อกโคลี่ เป็นถือแหล่งที่ดีของวิตามินอีและโฟเลต แม้ แม้ว่ายังไม่ชัดเจนในเรื่องที่โฟเลตป้องกันสมองได้หรือเปล่านั้น แต่มันอาจจะโดยการลดระดับของกรดอะมิโน homocysteine ในเลือด ที่จะทำให้เสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ เพราะหากมี homocysteine มากนั้นอาจทำให้เซลล์ปราสาทตาย และ กรดโฟลิกก็ยังช่วยในการลดระดับ homocysteine อีกด้วย

4.อะโวคาโด
เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูล อิสระวิตามินอี ซึ่งจากการวิจัยพบว่า อาหารที่เต็มไปด้วยวิตามินอี ซึ่งรวมไปถึง อะโวคาโด จะสามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระได้และลดความเสี่ยงในการเป็นอัลไซเมอร์

5.เมล็ดทานตะวัน
เมล็ดพันธุ์พืชรวมทั้งเมล็ด ทานตะวัน ถือเป็นแหล่งรวมที่ดีของวิตามิน อี และถ้าหากนำเมล็ดคั่วทานตะวัน มาปรับโรยบนสลัดนั่นจะเป็นส่วนที่ช่วยในการบำรุงสมองของคุณ

6.ถั่วลิสง และ เนย ถั่วลิสง
แม้ทั้งสองสิ่งนี้จะทำ ให้มีความเสี่ยงในการอ้วนสูง แต่ทว่าทั้ง ในถั่วลิสงไขมันและเนยถั่วลิสงมักจะเป็นไขมันที่นำมาซึ่งการมีสุขภาพดี นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยวิตามินอี โดยทั้งสองที่กล่าวมานี้อาจช่วยให้หัวใจและสมองแข็งแรงและทำงานได้อย่างถูก ต้อง นอกจากนั้นยังมีทางเลือกที่ดีอื่นอีก เช่น อัลมอนด์ และ ฮาเซลนัทส์

7.ไวน์แดง
จากผลการวิจัย ผู้ที่ดื่มจำนวนไวน์แดงปานกลางและและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่น ๆ อาจมีความเสี่ยงที่ลดลงสำหรับโรคอัลไซเมอร์ แต่สำหรับจำพวกคนขี้เมาแล้วนี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมในการพัฒนาของพวก เขา

8.เบอร์รี่
การวิจัยล่าสุดนำเสนอในที่ประชุมแห่ง ชาติของสมาคมเคมีอเมริกันในบอสตันพบว่าบลูเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่และผลเบอร์รี่ ช่วยถนอมอายุสมอง เสมือนทำหน้าที่เป็นแม่บ้านที่คอยเก็บกวาดนั่นเอง

9.เมล็ดธัญพืช
อุดมไปด้วยไฟเบอร์ และถือเป็นอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน จากการวิจัยจากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก ซิตี้ แสดงให้เห็นว่าอาหารนี้ช่วยลดความเสี่ยง และความบกพร่องในกระบวนการคิด ซึ่งมันเป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ นอกจากนั้น เมล็ดธัญพืช จะลดการอักเสบในเรื่องความเครียด รวมทั้ง ปัจจัยเสี่ยงของหลอดเลือดเช่นความดันโลหิตสูงซึ่งทั้งหมดนี้อาจมีผลต่อสมอง และ โรคหัวใจ

ผลวิจัยชี้ !เดินคุยโทรศัพท์..ทำให้ปวดสันหลัง


ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ในออสเตรเลีย ระบุว่าหากคุยโทรศัพท์ขณะเดินอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ติดนิสัยเดินไปคุยโทรศัพท์ไป เราอาจจะต้องมาเปลี่ยนพฤติกรรมได้แล้วค่ะ เพราะมีผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ในออสเตรเลีย ระบุว่า 'หากว่าเราคุยโทรศัพท์ขณะเดิน อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้'

ซึ่งการทำวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยได้วัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลำตัว ซึ่งเป็นส่วนที่ปกป้องกระดูกสันหลังพบว่ากล้ามเนื้อส่วนลำตัวจะทำงานได้ อย่างเหมาะสม ในคนที่เดินเฉย ๆ แต่คนที่เดินไปคุยไปจะมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณนี้น้อยกว่าปกติ และจะเป็นอันตรายต่อกระดูกสันหลัง

โดยอธิบายเพิ่มเติมว่าปัญหานี้เกิดขึ้นเนื่องจากวิธีในการสั่งงานของสมอง ที่กล้ามเนื้อจะมีหน้าที่หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน และจะถูกสั่งการโดย สมองตามลำดับความสำคัญ ดังนั้นขณะที่คุยโทรศัพท์และเดินในเวลาเดียวกัน สมองจะให้ความสำคัญกับการคุยโทรศัพท์ มากกว่า ทำให้เสี่ยงต่อ การปวดหลังได้มากขึ้น

นอกจากนั้นแล้ว ร่างกายของเรายังถูกออกแบบมาให้หายใจออกเวลาเท้าแตะพื้น ซึ่งจะเป็นการช่วยป้องกันการกระแทก ของกระดูกสันหลัง ซึ่งเมื่อเราพูดและเดินไปพร้อม ๆ กันจะทำให้รูปแบบ การหายใจนี้เสียสมดุล จึงส่งผลต่อกระดูกสันหลังของเราได้

น้ำประปามาจากไหน


น้ำประปามาจากไหน น้ำจืดในธรรมชาติแยกออกได้เป็นสองประเภท คือ น้ำผิวดิน (surface water) และ น้ำใต้ดิน หรือน้ำบาดาล (ground water) น้ำผิวดินมาจากน้ำฝนที่ไหลรวมลงแอ่งน้ำลำธาร คลอง แม่น้ำ และไหลลงทะเลในที่สุด ส่วนน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาลเกิดจากไหลซึมผ่านชั้นดินชั้นทรายของน้ำผิวดินลง ไปกักเก็บในช่องโพรง ชั้นหินที่มีรูพรุน ใช้เวลานับสิบนับร้อยปีหรือนับพันปี ระดับลึกตั้งแต่ 10 เมตรถึงหลายร้อยเมตร

น้ำประปาที่เราใช้กันก็มาจากน้ำทั้งสองแหล่ง โดยผ่านการสูบขึ้นมากักเก็บและผ่านกระบวนการทำให้สะอาด แต่ในระยะหลังพบว่า การสูบน้ำบาดาลมาใช้ในปริมาณมากเกินไปจนน้ำผิวดินไหลซึมลงทดแทนไม่ทันทำให้ น้ำทะเลแทรกซึม น้ำบาดาลจึงมีรสกร่อย และช่องว่างใต้ดินที่น้ำผิวดินหรือน้ำทะเลเข้าทดแทนไม่ทันทำให้เกิดปัญหาดิน ทรุดซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มาก รัฐบาลจึงมีนโยบายให้หยุดสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้

สำหรับน้ำประปาที่การประปานครหลวงจ่ายให้แก่ผู้ใช้ในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการนำน้ำดิบมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่กลอง

ทำไมคนฉลาดถึงตัดสินใจโง่ๆ


มีข้อคิดที่อยากจะฝากพวกเราคือ คนคนเดียวกันเวลาต่างกันความเฉลียวฉลาดไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับว่าในขณะนั้นใจ เขานิ่งขนาดไหน ขณะเดียวกันคนสองคนถ้าบอกว่า คนหนึ่งหัวดีกว่าอีกคนหนึ่ง ฉลาดกว่าอีกคนหนึ่ง ก็ไม่แน่เสมอไป เราพบว่าในบางสถานการณ์ นาย ก ก็ดูเหมือนฉลาดกว่านาย ข ถ้ารบกันก็ชนะ แต่บางครั้งนาย ข ก็กลับฉลาดกว่านาย ก ได้ ถามว่าเป็นเพราะอะไร ตรงนี้สำคัญ คนจำนวนมากมองข้าม จึงมองจุดบกพร่องของตัวเองไม่ออก

เราต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อนว่า ในสถานการณ์หนึ่ง เมื่อพิจารณาด้วยดีแล้วผู้มีปัญญาก็มองออกว่า ควรตัดสินใจอย่างไรที่จะให้ผลดีที่สุด

แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ใจของเขาถูกกิเลสเข้าครอบงำ จะเป็นด้วยความอยากเด่นอยากดังก็ตาม ด้วยความระแวงก็ตาม ด้วยความอวดดื้อถือดีก็ตาม เขาก็จะตัดสินใจไปอีกแบบ ทั้งที่จริง ๆ ตนเองก็รู้ว่าตัดสินใจอย่างนี้ไม่ถูก มันควรต้องตัดสินใจอีกแบบ แต่เพราะว่าการตัดสินใจอีกแบบที่ถูกต้อง มันมาขัดกับกิเลสที่เข้าครอบงำอยู่ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วเดี๋ยวมันไม่เด่นมันไม่ดัง ก็เลยไปเลือกทำอีกแบบที่คิดว่ามันจะเด่นมันจะดัง เลือกทำอีกแบบที่เป็นลักษณะการมีทิฏฐิอวดดื้อถือดี

ปัญญาที่มีจึงเหมือนไม่มี เพราะไม่เลือกทำตามที่ปัญญาเห็น แต่กลับไปทำตามที่กิเลสสอน สุดท้ายก็พลั้งพลาดเสียทีไป

ใครเคยอ่านสามก๊ก คงจะจำบังทองได้ เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับขงเบ้ง ท่านว่ามีความฉลาดทัดเทียมกันเลย แต่สุดท้ายบังทองเพิ่งจะนำทัพออกรบช่วยเล่าปี่แค่ยกสองยกก็ตายเสียแล้ว ก่อนจะบุกเสฉวนก็ตายเสียก่อน ถูกข้าศึกวางกลลวงล้อมยิงด้วยเกาทัณฑ์จนตายถามว่ามือขนาดบังทองฉลาดแสนฉลาด ทำไมถูกกลศึกลวงเอาง่าย ๆแบบนั้น คำตอบเป็นเพราะความแข่งดีอยากจะเอาหน้าเอาตา ให้เหนือกว่าขงเบ้ง บังทองรู้สึกว่าตัวเองมาทีหลังขงเบ้ง จึงอยากจะสร้างผลงาน ทั้งที่จริงตนก็รู้ว่าบุกอย่างนี้ไม่ปลอดภัย เสี่ยงมากที่จะถูกกลศึก แต่ทั้ง ๆ รู้ก็ยังฝืนทำ เพราะหวังว่าถ้าสำเร็จจะได้หน้าได้ตา สุดท้ายก็เจอกลศึกข้าศึกจริง ๆ ถูกรุมยิงด้วยเกาทัณฑ์แย่ไปทั้งกองทัพตนเองก็ตายกลางศึก นี่เขาเรียกว่ากิเลสมันมาบังปัญญา ปัญญา ที่มีอยู่ก็เลยเหมือนกับไม่มี

โจโฉว่าเก่งแสนเก่งพออวดดื้อถือดีเข้าก็ย่ำแย่เสียหลายตอนบางครั้ง สถานการณ์บังคับเตรียมจะสั่งถอยทัพอยู่แล้ว แต่เผอิญถูกขุนพลคนหนึ่งที่ตนเองหมั่นไส้อยู่ คือเอียวสิ้ว มารู้ทันความคิดตัวเองก็เลยสั่งจับเอียวสิ้วไปตัดคอเสีย แล้วฝืนไม่ถอยทัพ เพราะมีทิฏฐิจะทำให้เหมือนกับว่าเอียวสิ้วไม่ได้รู้ทันตัวเอง สุดท้ายกองทัพก็เลยย่ำแย่ถูกตีแตก ตนเองก็แทบเอาชีวิตไม่รอด

เมื่อถูกทิฏฐิมานะมาบดบัง ปัญญาของโจโฉที่มีก็เหมือนไม่มี

เพราะฉะนั้นพวกเราหากต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตอย่าให้กิเลสในตัว เป็นเครื่องชี้นำ ไม่ต้องไปแข่งดีกับใครเลย ขอเพียงให้เราตั้งใจสู้กับกิเลสในตัว สำรวจตัวเองให้ดีหมั่นแก้ไขข้อบกพร่องในตัวแก้ข้อบกพร่องตัวเองไปได้มาก เท่าไร เราก็จะโดดเด่นขึ้นมา โดยไม่ต้องไปแข่งกับใคร ไม่ต้องไปยกตัวเองขึ้นมาเลย มันจะเด่นขึ้นมาเองไม่ต้องไปสู้กับใครเขาหรอก สู้กับกิเลสในตัวของเรานี่แหละ นี่คือหน้าที่หลักของทุกคน ท่านบอกว่าคนที่รบชนะคนอื่นเป็นร้อย ก็สู้คนที่รบชนะตัวเองคนเดียวไม่ได้ รู้หลักอย่างนี้แล้ว เรามีสติปัญญามากเท่าใดขอให้ใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ให้กิเลสทั้งหลายมาเป็นจุดอ่อนในตัวเรา จะเป็นทิฏฐิมานะก็ตาม ความอวดดื้อถือดีก็ตาม ความอยากเด่นอยากดังก็ตาม อย่าให้มาบดบังปัญญาของเราได้ เอากิเลสเหล่านี้ออกไป ปัญญาของเราก็จะฉายชัดมากขึ้น ๆ ซึ่งจะทำได้ด้วยการหมั่นทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้มีสติดีและใจมีพลังเอาชนะอำนาจกิเลสในตัวได้

ขอให้พวกเราทุกคนประสบความสำเร็จในการฝึกใจของเราให้เป็นสมาธิตั้งมั่น มีประสิทธิภาพในการประกอบกิจทั้งหลายทั้งทางโลกและทางธรรม ได้สำเร็จกันทุกท่านเทอญ

ที่มาของ ทรงผมสกินเฮด


ที่มาของ สกินเฮด ผม ทรงสกินเฮด (skinhead)หรือทรงติดหนังหัว แท้จริงเป็นลัทธิของวัยรุ่นผิวขาวในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพในสหรัฐ ที่ถือกำเนิดมาในช่วงปลายปี 2503 และพัฒนาเรื่อยมาจนถึงขีดสุดในอังกฤษช่วงปี 2513 ซึ่งสมัยนั้นรู้จักในนามอีกชื่อหนึ่งว่า พังก์ (punk)

ต่อมาในช่วงปลายปี 2523 บรรดาสกินเฮดรุ่นใหม่ได้รับความกดดันจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและเริ่มเกลียดชัง ชาวต่างชาติที่อพยพเข้าไปในสหรัฐและประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต พวกสกินเฮดจึงเป็นพวกเหยียดผิว นิยมความรุนแรง และมีส่วนในการฆาตกรรมชาวต่างชาติ พวกรักร่วมเพศ ฯลฯ ในเมืองต่างๆของสหรัฐ

ในปัจจุบันผู้คลั่งลัทธิจะต้องผมสั้นเกรียน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสกินเฮด มักจะมีรอยสักตามแขนหรือลำตัว ชอบใส่เสื้อแขนยาวของนักบินและรองเท้าหุ้มข้อ มีเชือกรองเท้าสีสันต่างๆกัน เช่น ขาว แดง และเหลือง

นั่งไขว่ห้าง...นั่นแหละสาเหตุ


ใครปวดขา ปวดตัว แล้วคิดว่าสาเหตุเป็นเพราะนั่งทำงานหน้าคอมฯ อยากให้ลองเลิก 'นั่งไขว่ห้าง' แล้วดูว่าอาการปวดของคุณ ดีขึ้นหรือไม่

ใครที่บ่นปวดขา ปวดตัว ปวดคอ และเชื่อว่าอาการปวดเหล่านั้น ล้วนเกิดจากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน คงจะต้องคิดทบทวนดูใหม่ เพราะแม้การนั่งหน้าคอมฯทั้งวันจะทำให้ปวดเมื่อยอยู่บ้าง แต่คุณลองถามตัวเองหรือยังว่า คุณนั่งไขว้ห้าง ตอนพิมพ์งาน หรือ เล่นอินเตอร์เน็ตหรือเปล่า...?

การนั่งไขว่ห้าง อาจเป็นท่านั่งสบายๆ สำหรับหลายคน ซึ่งจริงๆ แล้วการนั่งไขว่ห้าง คือ ท่านั่งที่ถ่ายน้ำหนักไปด้านใดด้านหนึ่งซ้ำๆ เป็นเวลานานๆ ดังนั้นระหว่างที่เรานั่งไขว่ห้าง เส้นเลือดใหญ่ที่ต้นขาทั้งสองจะถูกแรงของขาทั้งสองบีบเอาไว้ให้เลือดไหล เวียนไม่สะดวก ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพราะต้องสูบฉีดเลือดให้ร่างกายลำเลียงไปเลี้ยงส่วนต่างๆให้ทั่วถึง

และนอกจากการนั่งไขว่ห้างจะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย ตั้งแต่ปวดเมื่อยเล็กน้อยไปจนถึงโรคปวดเรื้อรังแล้ว ในบางรายยังมีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืดหลังลุกจากท่านั่งไขว่ห้างนานๆ หรือ อาจมีอาการปวดบวมที่ขาทั้งสองข้างด้วย ดังนั้น การป้องกันจึงไม่ควรนั่งในท่าที่ทิ้งน้ำหนักตัวไปข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป หรือ หากจะนั่งไขว่ห้างก็ควรสลับเปลี่ยนด้านบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เป็นผลเสียต่อสุขภาพ